Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของรัฐบาลต่อนโยบายลดภาษีนิติบุคคล

เบนจามิน แฟรงคลิน(Benjamin Franklin 1706-1790) นักวิทยาศาสตร์ ผู้ค้นพบสายล่อฟ้า ได้พูดไว้ว่า "โลกในปัจจุบันนี้ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ยกเว้น ความตาย และภาษีอากร" (In this world nothing can be certain, except death and taxes")


รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม โดย รมต. คลัง นาย ธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 30% เป็น 23%ในปี 2555 และเหลือ 20% ในปี 2556 เป็นผลให้เงินภาษีหดหายไป อย่างน้อย 1.3 แสนล้านบาทต่อปี


ใน 106 ประเทศทั่วโลก อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉลี่ยอยู่ที่ 25.9% ในประเทศแถบเอเชียแซิฟิคเฉลี่ยอยู่ที่ 28.4% ทั่วโลกจัดเก็บภาษีทางอ้อม หรือ เฉลี่ยภาษีมูลค่าเพิ่ม 15.7% เปรียบเทียบไทย เก็บ 7% (ข่าว) สำหรับประเทศญี่ปุ่นมีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 40%(ทำไมถึงยังแข่งขันได้ทั่วโลก แถมค่าเงินเยนแข็งค่ามากมายเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆทั่วโลก...ทำไม??)

เมื่อปี 2003 รัฐบาล ประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา จอร์จ บุช พรรครีพับลิกัน(Republican) ได้ประกาศลดภาษีนิติบุคคล พูดให้เข้าใจง่ายก็คือลดภาษีให้คนร่ำรวย ถูกนักเศรษฐศาสตร์ สวดยับ และเป็นต้นเหตุหนึ่งที่้ำซ้ำเติมการขาดดุลงบประมาณที่ขาดดุลอยู่แล้วจำนวนมาก เป็นเหตุต่อเนื่องทำให้จำเป็นต้องตัดลดการอุดหนุน ระบบประกันสังคม (Social Insurance--Medicare & Medicaid)ของรัฐลง กระทบต่อคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปี และคนด้อยโอกาสอื่น นับสิบล้านคน

ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเรื่องภาษีของรัฐบาลประธานาธิบดี จอร์จ บุช ที่ปรับลดภาษีนิติบุคคล ที่เหมือนกับรัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม  คือ...

1.  เมื่อมีประชาชน แบมือรอรับความช่วยเหลือจากผู้บริหารนโยบายสาธารณะทั่วประเทศ แต่นักการเมืองกลับกวาดเงินภาษีประชาชนใส่มือคนร่ำรวย แทนที่จะใส่มือคนจน หรือคนที่เดือดร้อน ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ผ่าน นโยบายสาธารณะที่เป็นธรรม โดยอ้างว่า จะเก็บภาษีได้คืนในอนาคต เป็นสูตรสำเร็จของนักการเมืองทุนนิยมกักขฬะ อย่างพรรค รีพับลิกัน(Republican) กล่าวอ้าง

รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
1.  ลดภาษีให้คนร่ำรวย ตามแบบฉบับของทุนนิยมกักขฬะ อย่างพรรคเพื่อไทย โดยมีคุณ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวพ่อ

2. ช่วงระหว่างสงคราม มีแต่ต้องเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อใช้จ่ายยามสงคราม รัฐบาลสหรัฐอเมริกา กลับเดินสวนทาง และได้ใช้จ่ายเงินภาษีประชาชนทำสงครามจำนวนมากมายมหาศาลถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ โดย ปี 2001 สหรัฐอเมริกา เข้าไปทำสงครามในอัฟกานิสถาน โดยอ้างเรื่องการก่อการร้าย และ ในปี 2003 ร่วมกันประเทศอังกฤษ เข้า"รุกราน"ประเทศอิรัค ที่ใช้คำว่า"รุกราน"ก็เพราะ ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติให้เข้าทำสงครามกับอิรัค ดังนั้นจึงผิดกฏหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เหมือนเป็นอันธพาลของโลก โดยอ้างว่า อิรัค มีอาวุธ ทำลายร้ายแรง(Weapon of Mass Destruction -WMD) เช่น นิวเคลียร์ อาวุธเชื้อโรค และใส่ร้าย ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัค แอบอุดหนุนการก่อการร้ายเครือข่าย อุซามะห์ บินลาดิน ผลคือไม่มีอาวุธร้ายแรงอะไรเลย


รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
2.  ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตอย่างหนักเรื่องภัยน้ำท่วม ทำความเสียหายมากถึง 1.4 ล้านล้านบาท ต้องกู้เงินมาทั้งบูรณะและเยียวยาผู้ประสบภัย และปีที่แล้วก็เสียหายจากภาวะการเมือง หลายแสนล้านบาท



3.  สหรัฐอเมริกากำลังมีปัญหาขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก แต่ก็กู้เงินมาเพื่อใช้จ่าย กลับไปลดเงินภาษีให้คนร่ำรวย โดยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้

รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
3.  ประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องเงินงบประมาณต้องจัดงบประมาณขาดดุล ต้องกู้เงินมาใช้จ่ายหลายแสนล้านบาท  เช่นกัน และกลับไปลดภาษีให้คนร่ำรวย

แผนภาพด้านบนนี้ แสดงถึง การจัดเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกาประมาณ 31% เมื่อเทียบกับประเทศอื่น สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 16% ซึ่งต่ำมากๆ

แผนภาพด้านบนนี้เป็นอัตราการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลจากบริษัทต่างๆในสหรัฐอเมริกา จาก 6%กว่าต่อจีดีพีเหลือเพียง 1% กว่าต่อจีดีพี ลดลงตลอดมาตั้งแต่ปี 1949-2009


ครอบครัวคนร่ำรวยในสหรัฐอเมริกาที่มีรายได้มากว่า 1 ล้านดอลลาร์ ก็มีอัตราการเสียภาษีเงินได้น้อยลงตลอดมาตั้งแต่ปี1993



4.  หากดูความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา จัดเก็บภาษีได้ประมาณ 31% ของ จีดีพี(GDP) ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น

รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
4.  รัฐบาลไทยมีความสามารถจัดเก็บภาษีได้เพียง 16% ของจีดีพี  เท่านั้น ซึ่งยิ่งน้อยมากๆ


มีแต่นักการเมืองสายพันธุ์ "ปากกว้าง สมองเล็ก" หรือนักเสี่ยงโชคทางการเมือง เท่านั้นที่กล่าวอ้างเรื่องภาษีไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่กำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำกว่าไทย แล้วจะ"ลดราคา"ไปสู้กับเขา
หากบริหารงานอย่างรัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม ต่อให้กำหนด อัตราภาษีนิติบุคคลเป็นศูนย์ ก็ไม่มีนักลงทุนที่ดีมีคุณภาพมาลงทุนด้วย หากเขาเข้ามาลงทุนแล้วทำความเสียหายยับนับ ล้านล้านบาท อย่างภัยน้ำท่วมที่ยากยิ่งที่จะเกิดได้แต่รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม ก็เก่งมากทำจนมันเกิดได้ มากขนาดนี้ และหากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ เพราะอัตราภาษีนิติบุคคลของไทยไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่นมากนัก และมีปัจจัยอื่นๆอีกมากที่สามารถใช้ดึงดูดการลงทุนที่ดีได้ ไม่ใช่ภาษี  อุปมาเหมือนกับ เราผลิตสินค้าหรือบริการที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน ต่อให้ขายของถูกเท่าใดก็ไม่มีใครซื้อ หากจะมีบ้างก็พวกฉาบฉวย  ดังนั้นตรรกะเดียวกันนี้ เราต้องมุ่งไปที่ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ เช่น ความสามารถของกำลังแรงงานที่ดีมีคุณภาพ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ  การโกงกิน ของนักการเมือง และข้าราชการ เป็นต้น 








วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประชาธิปไตย: เนื้อหาที่เป็นเผด็จการ

  ก่อนอื่น ขอชมการสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนาย อภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ต่อ นายประชา พรหมนอก ผอ. ศปภ. ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม ว่าสรุปได้ดี กระชับ และเห็นภาพได้ชัดเจน แม้ผลการลงมติจะแพ้ตามการคาดหมาย แต่เชื่อว่า นายประชา พรหมนอก กับพวก น่าจะถูก ป.ป.ช. ถอดถอนออกจากตำแหน่ง (ถ้า ป.ป.ช. สามารถสอบสวนและลงมติได้เร็วพอ) และคาดว่า รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม นี้จะอยู่ได้อีกไม่น่าเกิน เมษายน 2555


นายกปู(ปัญญา)นิ่ม กับ นายประชา พรหมนอก ผอ. ศปภ.(ภาพจากมติชนออนไลนน์)

ความจริงแล้ว ก็ต้องเข้าใจและให้ความเป็นธรรมต่อรัฐมนตรีทุกคนในรัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม ทั้ง 36 คนด้วย ทั้งนี้เพราะ ก็คนมันมีความสามารถแค่ "เสมียนบริษัท" น่ะ ก็มีปัญญาแค่นี้  ทั้งคิดและทำเต็มที่แล้วได้แค่นี้ แล้วจะเอาอะไรอีก(วะ) ทำเต็มที่แล้ว(นะโว้ยยย) หากจะโทษก็ต้องโทษคนเลือก คนพวกนี้เข้ามาต่างหากถึงจะถูก และคนเลือกนักการเมืองเหล่านี้ก็ อยู่ในระบบที่เหมือนถูกมัดมือชก เพราะระบบ  กฏหมาย กฏเกณฑ์ มันเป็นอย่างนี้ ก็เลือก คนที่อาสาเข้ามาจึงมีแต่พันธุ์ "ปากกว้าง สมองเล็ก" หรือ "นักเสี่ยงโชคทางการเมือง" จะให้ทำไง?? ลองหันไปมองเยาวชน ลูกหลานเรา จะเอาเยี่ยงอย่างที่ดีดีมาจากไหน?? อนาคต คงพอมองเห็นภาพได้ไม่ยากต่อให้ใช้สมองแค่ครึ่งเดียวคิด


การเมืองในระบบเดิมๆ ที่เล่นพรรค เล่นพวก ใช้อำนาจเงิน เน้นการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นแค่เครื่องมือ ไม่สนใจการมีส่วนร่วมของประชาชน อันเป็นหัวใจของระบอบ ก็จะพบความวิบัติไม่จบสิ้น เรื่องง่ายๆ ก็ทำให้เป็นเรื่องยาก เรื่องยากๆ ก็ไม่ต้องทำเลย จนกว่าจะสิ้นชาติ

                             โรงงาน Western Digital(WD) ผลิตอุปกรณ์บันทึกข้อมูลดิจิตอล(Hard Disk Drive)

ทุกครั้งไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ใช้อำนาจบริหาร เมื่อมีปัญหาเรื่องทุจริตทุกรูปแบบ ประพฤติตัวไม่ดีงามก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวนายกรัฐมนตรี ตัวรัฐมนตรี หรือผู้มีอำนาจทั้งหลาย นอกจากจะตรวจสอบ จับตัวได้ยากแล้ว ยังใช้"พวกมากลากไป" โดยไม่สนใจ กฎหมายบ้านเมือง หรือ ความรู้สึกชองปวงชน นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่มีแต่เปลือก แต่เนื้อหาเป็นเผด็จการ โดยแทั

                             โรงงาน Western Digital(WD) ผลิตอุปกรณ์บันทึกข้อมูลดิจิตอล(Hard Disk Drive)

ไม่ว่าใครจะเข้ามาใช้อำนาจรัฐ มาบริหารภาษีประชาชน ในระบบเดิมๆนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติ ได้ สร้างความเป็นธรรมในสังคมที่กำลังเลื่อมล้ำอย่างหนักได้ และสร้างความเป็นอยู่ที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดียิ่งๆขึ้นไปให้กับประชาชนได้

เชื่อเถิด ..บุคคลสาธารณะอย่างนักการเมืองนั้น ไม่ใช่ใครก็เป็นได้



วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิกฤตสร้างวีรบุรุษหรือ ธาตุแท้ของคน??

นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกผู้ว่า กทม ให้ข่าวว่า กทมมีระบบแม่น้ำ ลำคลอง คู ต่างๆ 1,000 กว่าสาย ความยาวประมาณ 2,000 กม. มีระบบท่อระบายน้ำยาว ประมาณ 6,000 กม.

สิ่งที่ทั้งผู้ว่า กทม สุขุมพันธ์ บริพัตร และ นายกปู(ปัญญา)นิ่ม ต้องคิดและทำตั้งแต่แน่ใจแล้วว่า มวลน้ำมหาศาลนี้สร้างความเสียหายมากแน่นอน และจะระบายลงทะเลให้รวดเร็ว ได้อย่างไร หรือแม้กระทั่ง ณ เวลานี้ก็ตาม เช่น การขุดลอกแม่น้ำ ลำคลอง ต่างๆทั้งใน กทม. และ บริเวณใกล้เคียง ที่เป็นช่องทางระบายน้ำลงทะเลอย่างมีนัยะสำคัญ รวม 100 กว่าสาย ที่เป็นอุปสรรค มานาน ทั้งตื้นเขิน ทั้งมีขยะสิ่งปฏิกูล ต่างๆขวางทางน้ำอยู่ ทุกสาย ทำให้น้ำไหล ระบายได้คล่องๆ แต่.... เปล่าเลย ละเลย ไม่สนใจใยดี ต่อสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง หากไม่จัดการทำในเวลานี้ แล้วในอนาคตที่คิดจะวางแม่แบบในการจัดการปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนที่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนหลายแสนล้านบาทนั้น  ไม่ต้องอาศัยแม่น้ำ ลำคลอง ทั้ง 100 กว่าสายนี้เป็นช่องทางระบายน้ำลงทะเลหรืออย่างไร? ไร้วิสัยทัศน์อย่างสิ้นเชิงจริงๆ






 ครั้งหนึี่งผู้ว่า สุขุมพันธ์ บริพัตร พูดว่า ระบบการระบายน้ำของ กทม นั้น มีขีดความสามารถรับได้แค่ฝนตกน้ำท่วม เท่านั้น ไม่สามารถรับมือกับมวลน้ำมหาศาลนี้ได้ หากคิดอย่างผู้ว่า สุขุมพันธ์ คิดแค่นั้นก็ทำได้ตามนั้น ไม่ต้องคิดอย่างอื่นอีก จบข่าว





แต่ในความเป็นนักจัดการ นักบริหารที่ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับมวลน้ำมหาศาลนี้ คิดแค่นั้นไม่ได้แน่ เช่น...

 1.  ต้องคำนวณโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์(Mathematical algorithm) พื้นที่ระบายน้ำทั้งหมดของช่องทางระบายน้ำต่างๆ ทั้ง100 กว่าสายนี้ หากขุดลอก จัดการสิ่งปฏิกูลต่างๆ แล้ว สามารถรองรับน้ำได้เท่าใด เป็นต้นว่า ได้สัก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันได้หรือไม่ ? หากไม่ได้จริงๆแล้วได้เท่าใด?เพื่อจะได้นำแบบจำลองนี้ ไปเป็นแม่แบบปฏิบัติจริง เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่นลดระยะเวลาน้ำที่ขังอยู่ ลดความสูญเสีย ทุกฟันเฟืองในระบบจะได้หมุนได้ตามปรกติ ความเสียหายจากกิจกรรมทางเศาษฐกิจ การดำเนินชีวิตของผู้ประสบเคราะห์กรรม จะได้ทุเลาเบาบางลง กว่าที่เป็นอยู่
  2.  เมื่อขุดลอกแม่น้ำ ลำคลอง ต่างๆแล้ว ติดตั้งเครื่องสูบน้ำให้สอดคล้องกับการระบบน้ำของแม่น้ำ ลำคลอง ที่ขุดลอกไว้ และให้ระบายน้ำลงทะเลให้ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นต้น

การทะเลาะ ความขัดแย้งเหนือแนวกระสอบทรายยักษ์(Big sand bag wall) ที่เกิดขึ้น เกิดจาก..
1.  ทั้ง ศปภ. และ กทม. ไม่สามารถระบายน้ำได้เร็ว กว่าที่ควรจะเป็น
2.  กระสอบทรายยักษ์(Big sand bag wall) ยังไปขวางทางเดินน้ำ ทำให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหนือแนว
     คันกั้นต้องเสียสละโดยไร้การเหลียวแล ไร้การช่วยเหลือ เยียวยา อย่างที่ควรจะเป็น อย่างทั่วถึง
3. ไร้คำตอบที่แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ น้ำที่ท่วมขังอยู่มากมายนี้จะลดลงอย่างมีนัยะ ผู้เดือดร้อนแสนสาหัสทั้ง
    หลายจะได้กลับไปดำเนินชีวิตได้ดั่งปรกติ
4.  เมื่อความอดทน อดกลั้นถึงช่วงเวลาหนึ่ง ไม่มีอะไรดีขึ้น ยังจมอยู่กับน้ำเน่าๆ เป็นเดือนๆ บอกก็แล้ว ร้อง เรียนก็แล้ว ไร้คนสนใจแ้ก้ปัญหา ความอดทนก็หมด ขาดสะบั้นลง
5. นอกจากการทำงานอย่างไม่มีเอกภาพ ไร้แผนงานที่เป็นระบบแล้ว ยังดำเนินนโยบายหน้าไหว้หลังหลอก(Hypocritical Policy) ไร้ปัญญาแล้วยังไร้ความรับผิดชอบอีกต่างหาก
6. หากบรรดาเหล่านักจิตอาสาเรือนแสนที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือ ผู้ประสบเคราะห์กรรม แล้วละก็ นายก
    ปู(ป้ญญา)นิ่ม และ ผู้ว่า กทม สุขุมพันธ์ บริพัตร ถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆแน่นอน
7.  ที่จริงแล้ว ข้อมุลต่างๆ วิธีการต่างๆ ในการแก้ปัญหามวลน้ำมหาศาลนี้ ไม่มีใครมีมากมาย หรือทัน
     สมัย จากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ มากเท่ารัฐบาล ศปภ. อีกแล้วในโลกนี้ ในฐานะผู้บริหารในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆนั้น ดีกว่ามีตัวเลือกของข้อมุลน้อยๆเป็นแน่ แต่ อนิจา รัฐบาล นายกปู(ปัญญา)นิ่ม กลับไร้สมองในการใช้ข้อมุลให้ รวดเร็ว ทันกาล เกิดประสิทธิผลสูงสุด

หากทั้งผู้ว่า กทม. สุขุมพันธ์ บริพัตร และ นายกปู(ปัญญา)นิ่ม จะมีความรับผิดชอบหลงเหลืออยู่บ้างก็คือ "ลาออก"ไปซะ การดื้อด้านอยู่ในตำแหน่ง รั้งแต่จะสร้างความวิบัติให้แก่ประชาชนไม่จบสิ้น ซวยซ้ำซากจริงๆ คนไทย นี่คือผลพวงของทั้งระบบและคนเดิมๆ ซึ่งไร้มาตรฐาน มีแต่นักเสี่ยงโชคทางการเมือง เราจึงต้องผลักดันให้การเมืองมีมาตรฐานเสียก่อน




วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กลอน"ปูรำพึง"


                                                               ภาพจาก กรุงเทพธุรกิจ


หนูก็แค่ ทำตามที่ พี่เค้าสั่ง
ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
พี่เค้าบอก ขอให้หนู ทำเพื่อไทย
หนูเลยไป เป็นนายก ตลกดี

หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
คนรอบข้าง ให้ทำนั่น ให้ทำนี่
หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง

หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
สคริปยาก อ่านไม่ทัน ดั้นไม่ไหว
ใครก็รู้ หนูไม่เก่ง ภาษาไทย
และก็ไม่ เก่งอังกฤษ สักนิดเลย

งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน น้ำดันท่วม
หนูก็อ่วม ไม่รู้แก้ แต่ไม่เฉย
กั้นตรงโน้น พังตรงนี้ ทุกที่เลย
ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา

คนรอบข้าง เก่งแค่ไหน หนูไม่รู้
เท่าที่ดู เก่งด้วยปาก มากหลายหนา
ทั้งพี่ปอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน

หนูโดนด่า ในเนท ในเฟซหนู
ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
หนูอัดอั้น แต่พี่ชาย ให้อดทน

ไม่อยากเป็น นายกแล้ว พี่แม้วขา
ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
ใครอยากเป็น ก็เป็นไป หนูไม่ทน
พี่เป็นคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์

หนูขอกลับ ไปเป็นปู อยู่อย่างเก่า
คิดแล้วเศร้า อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
ทุกวันนี้ หนูเหนื่อยล้า หนูอ่อนเพลีย
พี่เป็น เ-ี้ย อะไร ไมไม่มา ....


"พี่แม๊วตอบกลับมาแล้ว"


พี่ก็รู้ น้องปู นั้นเหนื่อยนัก
รู้ว่าหนัก สมองน้อย คอยปวดหัว
แต่จะกลับ ตอนนี้ พี่ยังกลัว
น้ำท่วมทั่ว แล้วพี่จะ จูบอะไร

อย่าเพิ่งบ่น เพิ่งด่า ว่าพี่เชี่ย
เพราะพี่เคลียร์ ทางไว้ ให้สดใส
มันจะบ่น คนจะด่า อย่าใส่ใจ
เลือกตั้งใหม่ คราใด ก็ได้เป็น

ขุนพลที่ มีอยู่ แน่นขนัด
ปากจัดๆ อย่างเต้นตู่ คู่เหม็นเขียว
ด่าทหาร ปั้นน้ำเป็นตัว มั่วประเด็น
พังฝายเล่น ก็มีเก่ง หยั่งขุนพล

ไหนน้องวิม พี่ปลอด ยอดกุนซือ
ไว้ออกสื่อ หลอกให้บ้า โกลาหล
ยังมีเจ๋ง ดอกจิก หน้าหงิกทน
อีกหลายตน เป็นกันชน ให้น้องเอง

เพียงเท่านี้ คนก็งง กันทั้งเมือง
นักวิชาการ สติเฟื่อง อย่าทำเก่ง
เด๋วเสื้อแดงไปหา จะคลื้นเคลง
เจ๋งไม่เจ๋ง ของบริจาค ยังผ่านตู

ขอแค่น้อง อยู่ให้รอด ปลอดประสพ
น้ำท่วมจบ ก็มาร้อง เพลง"คันหู"
ลองทำเล่น ผิดพลั้ง เป็นดั่งครู
ค่อยเรียนรู้ พี่แอบอยู่ เป็นแรงใจ .!!


"แม้วตอบกลับมาแล้ว" ลอกมาจาก Forward Mail


หนูไม่รู้

หนูไม่รู้ หนูอยู่ ที่เมืองสิงห์

... ไม่ได้ชิ่ง แต่มันมืด กลับไม่ไหว

พอรุ่งขึ้น เขาก็ ประชุมไป

หนูไม่ได้ เฉียดใกล้ ห้องประชุม


พ.ร.ฎ. ว่าอย่างไร หนูไม่ทราบ

จะให้กราบ หรือแช่งไป ให้ลงหลุม

หนูขอร้อง โปรดอย่า เข้ามารุม

หนูสุดกลุ้ม ก็ไม่รู้ จะทำไง

ยกเว้นโทษ คนค้ายา บ้าหรือเปล่า

แถมไม่เอา คนโกงชาติ มาลากไส้

เว้นคนแก่ เกินหกสิบ ก็เว้นไป

แต่จัญไร สองอย่างนั้น มันไม่ควร



หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายสิ่ง

กฏหมายยิ่ง ไม่รู้ ดูผันผวน

พี่เหลิมเค้า จัดไป ไม่มากวน

อย่ามาด่วน ตัดสินหนู ว่ารู้กัน

หนูเคยบอก พี่ชายแล้ว ให้รีบกลับ

พี่ก็รับ ปากไว้ ไม่แปรผัน

หนูบอกพี่ เขาว่า อย่านานวัน

เพราะหนูมัน ไม่รู้ อะไรเลย

พี่เขาเคย บอกไว้ ไม่อยากรีบ

กลัวโดนถีบ เข้าตะราง จึงวางเฉย

รอให้ออก พ.ร.ฏ. แล้วมาเลย

อย่างสง่า ผ่าเผย เปรยไว้แล้ว

น้ำยังท่วม คนยังเศร้า เหงาไปหมด

ความสุขหด ความทุกข์กราย ช่างใสแจ๋ว

โอกาสนี้ พี่หนู จึงรีบแจว

มาต่อแถว อภัยโทษ โครตพอดี

พอกลับมา ก็ทำว่า มาช่วยชาติ

เพราะเราขาด ผู้นำที่ มีความแข็ง

หนูก็ว่า พอดี หนูหมดแรง

พวกกองแช่ง ก็เซ็งไป หนูไม่รู้



----------------------------------------------------



ที่มา:ผู้แต่งกลอนบทนี้เป็นบุคคลเดียวกับผู้แต่งกลอน"ปูรำพึง"ที่เคยเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ (ลอกมาจากบล๊อกนี้)














วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความเฉลี่ยวฉลาด และ ภาวะผู้นำ ไม่สามารถถ่ายโอนกันได้(Genius & Leadership Are Non- Transferable)

    ก็เป็นธรรมดามาก ที่ระบบการเมืองไทยที่ไม่มีระบบการคัดกรองนักการเมือง เหล่าบรรดานักการเมืองที่มีคุณสมบัติแค่ "เสมียนบริษัท" แต่ถูกอุปโลกน์ ให้บริหารประเทศ ไม่เฉพาะกรณีน้ำท่วมสาหัสครั้งนี้ แต่เป็นมานานหลายสิบปีแล้วในระบบการเมืองไทย เป็นเหมือนกันทุกพรรคการเมือง ทำความพินาศมหาศาล ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ลดทอนความมั่งคั่งของชาติและประชาชนลงอย่างยิ่ง ในเวลานี้ และตลอดเวลาที่ผ่านมา



 ภาพจากมติชนออนไลน์





คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากบริหารงานผิดพลาด ขณะบริหารบริษัทในเครือชินวัตรเจ็ง เสียหาย ล้มละลาย อย่างมากก็แค่ คนตกงานไม่เท่าไหร่ ไม่กระทบภาษีประชาชน ไม่ทำให้คน มากกว่า 9 ล้านคน มากกว่า 2 ล้านครอบครัว ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส อยู่ขณะนี้

  นักการเมือง นายทุนอื่นๆ และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย 13 ล้านคน อาจจะคิดง่ายๆว่า เอา "สายตรง" คุณทักษิณ ไปเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นคือ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ เหมือนคุณทักษิณ บริหารประเทศเมื่อได้จัดตั้งรัฐบาล    นโยบายสาธารณะต่างๆ วิธีคิดต่างๆ จึงออกมาเป็นรายวัน รายชั่วโมง เพื่อหลอกล่อคนลงคะแนน เมื่อตอนแข่งชันกันตอนเลือกตั้งที่ผ่านมา    มาบัดนี้ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ความเฉลี่ยวฉลาด และ ภาวะผู้นำ ไม่สามารถถ่ายโอนกันได้(Genius & Leadership Are Non - Transferable) ซึ่งแม้ผมเชื่อและเห็นแววว่า ทั้งความเฉลี่ยวฉลาด(แกมโกง) และ ภาวะผู้นำ นั้นมีอยู่ในตัวคุณทักษิณก็จริงอยู่

และแล้ว.....โครงการ นิวไทยแลนด์(New Thailand) ที่ "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" วงเงินเกือบ 1 ล้านล้านบาท ก็เป็นอีกมหกรรมการผลาญภาษีประชาชนไม่มีวันจบสิ้น


                    คนที่จะทำงานสาธารณะ เช่นนักการเมือง นั้น ไม่ใช่ใครก็ได้!!

โปรดอ่านงานวิจัยฉบับสรุปสำหรับผู้บริหาร

ในการสร้างสังคมที่ดี มีคุณธรรม น่าอยู่ และ ยั่งยืนได้โดย

ทำการเมืองให้มีมาตรฐานเสียก่อน









วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนเดือดร้อนแสนสาหัส แต่ ศปภ. กลับเก็บกักของบริจาคไว้???

นอกจากคิดไม่เป็นทำไม่เป็นแล้ว ยังซ้ำเติมผู้เดือนร้อนอีก ทั้งๆที่ข้าวของต่างๆที่ผู้บริจาคตั้งใจให้ไปช่วยผู้เดือนร้อนทันที กลับไม่ทำ (คงหวังเก็บไว้แบ่งกันเอง)



นอกจากนี้ในข่าวอีกชิ้นหนึ่งที่นาย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ทราบข่าว ว่าที่ ศปภ. มีของที่รับบริจาคกักเก็บอยู่้มากมายจึงประสานงานกับ ศปภ. นายประชา พรหมนอก ผอ.ศปภ.ให้ประสานนายเก่ง การุณ โหสกุล ส.ส. พรรคเพื่อไทย เขตดอนเมือง แต่ไร้ผลคือ....ติดต่อไม่ได้ ตามข่าวนี้

ประเทศไทยจะหายนะอีกมากมายแน่นอนหากยังคงมีนักการเมือง และระบบแบบที่เป็นอยู่นี้


คนที่จะทำงานสาธารณะ เช่นนักการเมือง นั้น ไม่ใช่ใครก็ได้!!

โปรดอ่านงานวิจัยฉบับสรุปสำหรับผู้บริหารในการสร้างสังคมที่ดี 

มีคุณธรรม น่าอยู่ และ ยั่งยืนได้โดยทำการเมืองให้มีมาตรฐาน


วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พลังงานหมุนเวียนที่ดีอีกรูปแบบหนึ่ง(Renewable Energy)


Scientists Claim That Cars Could Run On Old Newspapers !!

จั่วหัวเรื่องไว้แบบนี้อาจทำให้ประหลาดใจว่า "นักวิทยาศาสตร์บอกว่า รถยนต์อาจจะวิ่งได้ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ" อ๊ะ ยังไงกัน ??



กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัย ทูเลน(Tulane University) สหรัฐอเมริกา ได้วิจัยพบว่า แบคทีเรียชื่อ TU-103  สามารถเปลี่ยน เซลลูโลส (Cellulose) ในพืชสีเขียวต่างๆ ไปเป็น บิวทานอล(Butanol) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ เช่นเดียวกับไบโอดีเซล(Biodiesel) อีกชนิดหนึ่งที่ดีกว่า เอทานอล(Ethanol) เสียอีก เจ้าแบคทีเรีย TU-103 พบได้มากในกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า เช่นเดียวกัน ในอนาคตก็หวังว่า กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ คงไม่ต้องไปฝังกลบดิน หรือเผาทิ้งอีกต่อไป

ในการวิจัยยังพบว่า น้ำมัน บิวทานอล(Butanol)  นี้ ใช้ได้กับเครื่องยนต์สภาพเดิม โดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่แต่อย่างใด

งานวิจัยลักษณะนี้เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย และคนไทย เพราะ ประเทศไทยมีพืชสีเขียวมากมายเต็มไปหมด และหาก นักวิทยาศาสตร์ไทยสามารถค้นหา แบคทีเรียชนิดนี้ได้ เราสามารถผลิตน้ำมัน บิวทานอล(Butanol)ได้ต้นทุนที่ถูกว่าสหรัฐอเมริกามาก แน่นอน