กูรูสื่อกระแสหลัก นักสันติวิธี ใครต่อ่ใครมากันแยะว่างั้น ผู้อภิปรายทุกคนบอกว่าสื่อสามารถเลือกข้างได้ เพราะมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ผมจับประเด็นได้ดังนี้...
1. ต้องเป็นมืออาชีพ
2. ต้องมีความรับผิดชอบ (ไม่ได้บอกว่ารับผิดชอบใคร- เจ้าของเงิน,สื่อ ? หรือ ประเทศชาติและประชาชน ?)
3. สื่อสามารถเลือกข้างได้ เพราะมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
อันที่จริงเคยเขียนถึงบ้างแล้วเรื่อง ตัวอย่างความไร้ความรับผิดชอบของสื่อกระแสหลัก
1. ความเป็นมืออาชีพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ มีความกล้าหาญที่จะนำเสนอข่าวสารทั้งความจริง(Reality or truth) และข้อเท็จจริง (Facts) ลงในพื้นที่ข่าวที่มีคนเข้าถึงใด้มากๆ และลงซ้ำบ่อยๆ แม้จะทำให้ผู้เป็นข่าวเดือนร้อน ก็ต้องทำ นั่นคือหน้าที่ ต้องนำเสนอ กระตุ้นเตือนผู้เกี่ยวข้อง ฟ้องประชาชนให้ตื่นตัว ให้รับรู้ เมื่อกระทำอย่างต่อเนื่องจนปัญหานั้นๆ ได้รับการแก้ไข ดูแลเอาใจใส่ หรือจนประชาชนลุกขึ้นร่วมประณาม จนผู้นั้นหรือกลุ่มนั้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิฉะนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้ยืนอีกต่อไป
2. นี่จึงเป็นการรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เจ้าของสื่อ ไม่ใช่กองบรรณาธิการสื่อ จึงถือเป็นสื่อสารมวลชนมืออาชีพ อย่าลืมต้องกล้าหาญด้วย
3. สื่อเลือกข้างได้ มีสิทธิ อันนี้อ้างกันจัง และเข้าใจกันผิดเพี้ยนไปหมดแถมยังแสดงทัศนะไปถึงลูกศิษย์ ประชาชนทั่วไปอย่างผิดๆ จริงอยู่ คนเราเกิดมาพร้อมด้วยสิทธิและเสรีภาพที่จะเลือกได้เสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างสีแดง หรือเหลือง หรือหลากสี สื่อเลือกข้างเท่ากับสื่อเห็นด้วยกับฝ่ายที่เลือก ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย ในสังคมไม่ได้มีแค่นี้ ทั้งสองฝ่ายมีทั้งที่ดีที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน ก็มีแนวทาง วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เราต้องยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เพื่อให้สังคมอยู่กันอย่างผาสุก ซึ่งสำคัญกว่าจรรยาบรรณสื่อ (Media's code of conduct) มากมายนัก เราต้องมองให้กว้างกว่ากะลาที่ครอบหัวอยู่ ถ้าสื่อเลือกข้าง แล้วสื่อจะมีความยุติธรรมได้อย่างไร? มีแต่แบ่งพวกถือหาง ความแตกแยกยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยการถือหางของสื่อแต่ละฝ่าย อย่างที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน ตั้งแต่สื่อช้างเสื้อเหลือง มาถึงสื่อข้างเสื้อแดง ทำให้สังคมยิ่งสับสนข่าวสารต่างๆที่ท่วมหัวเต็มไปหมด ทั้งข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวจริง และข่าวที่ตั้งใจปั้นขึ้นเพื่อใส่ร้าย จนแยกแยะไม่ออก ต่อให้จบ ปริญญาเอก10ใบก็ตาม
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ แค่ระดับครอบครัว.. พี่ชาย 8 ขวบ กับน้องสาว 6 ขวบทะเลาะกัน ไม่ยอมให้กัน พ่อแม่กลับมาถึง ฝ่ายแม่เข้าไปโอ๋ลูกชาย เข้าข้างลูกชาย ดุ ลูกสาวต่างๆนานา หาว่าไม่เคารพพี่ เป็นน้องต้องรู้จักเคารพพี่ ส่วนพ่อ เข้าข้างลูกสาว ดุลูกชาย บอกว่า เป็นพี่ทำไมรังแกน้อง เป็นผู้ชายนะต้องรู้จักเสียสละให้น้อง
เหตุผลที่พ่อแม่ต่างพูดกับลุกนั้นถูกต้องถูกแล้ว แต่ไม่พอ ไม่ควรเข้าข้างใคร โดยไม่ได้ตรวจสอบเหตุผล ความถูกผิด เหตุที่ทะเลาะกัน ทำให้ลูกๆทั้งสองนั้นสับสนแน่นอน เพราะว่า สาเหตุแห่งปัญหาไม่ได้รับการหยิบยกมาตัดสิน และมีหลักการอะไรในการชี้ผิด ชี้ถูกให้เป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ใช้"หลักกู" อย่างเดียว ?? และหาก พ่อแม่คู่นี้ทำแบบนี้ทุกครั้งที่ลูกๆทะเลาะกัน ลูกชายก็จะรู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย เป็นพี่ด้วยต้องเสียสละ ส่วนลูกสาวก็ รู้แต่เพียงว่า เป็นน้องต้องยอมพี่ แต่ไร้หลักยึดที่ถูกต้อง
ตัวอย่างนี้ชัดเจนที่สุด ประเทศไทยเปรียบเหมือนบ้าน ขณะนี้มีกลุ่มคนหนึ่งกำลังจะเผาบ้าน สื่อที่เลือกข้างฝ่ายหนึ่งบอกว่า "ห้ามเผา อย่าเผานะนี่บ้านของพวกเรา" สื่อที่เห็นด้วยก็บอกว่า..."เผาเลยๆ ดีแล้ว เผาๆๆๆ" สื่อที่อ้างตัวเป็นกลาง ก็บอกว่า "กูไม่เกี่ยว กูไม่ยุ่งด้วย เดี๋ยวโดนลูกหลง" แต่ไร้สื่อกระแสหลักที่จะบอก ห้ามปราม โดยยกหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เคียงให้ประชาชนเห็น และสื่อออกไป บ่อยๆ ตอกย้ำ ให้ผู้นำความคิดต่างๆ ออกมาร่วมประณามกลุ่มคนที่กำลังเผาบ้าน
เป็นเพราะสื่อที่เลือกข้างและมองเห็นแค่ไ่ม่กี่สีนี้ ส่งผลแระทบอย่างใหญ่่หลวงต่้อประเทศชาติและสังคมไทยอย่างน้อย 4 ด้านด้วยกัน
1. ต้องปฏิรูปสื่อโดยด่วน เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก จึงขาดความเป็นธรรม จึงไม่กล้าประณาม เว้นแต่โดนคุกคาม ข่มขู่โดยตรง จึงออกมาประณาม จึงทำให้เป็นสื่อที่เห็นแก่ตัว เพราะ เรื่องชาติ บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ไม่สนใจ สนใจแต่ทรัพย์สิน บริวารตัวเอง แล้วอย่างนี้จะบอกเป็นมืออาชีพได้หรือ ??
การเลือกข้างของสื่อ ถือเป็นงานที่หยา่บมาก นี่ยังไม่ได้พูดถึง การที่สื่อกระแสหลักสมคบคิดกันเงียบ และเพิกเฉย ละเลย มองข้าม (Mainstream media's conspiracy of silence and oversight) ข่าวที่ควรนำเสนอ สื่อกระแสหลักมืออาชีพ เขาดู เขาวัดกันถึงขนาดนี้
2.สร้างความแตกแยกในสังคม เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก สร้างความสับสน สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนที่เสพสื่อ ทั่วไป สับสน สร้างสนามรบเพิ่มขึ้น แพร่กระจายไปทั่วหัวระแหง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
3. ส่งเสริมลัทธิเอาอย่าง ให้เผาบ้านเผาเมือง เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก ทำให้กลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายได้ใจ ย่ามใจ มีคนห็นด้วยแม้จะทำด้วยความไม่ชอบธรรม ละเมิดกฎหมาย คุกคามข่มขู่นานา สร้างกฎหมู่ตัวเอง หึกเหิม ยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ มีมิจฉาทิฏฐิ(หลงผิด คิดผิด) เพิ่มมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หากสื่อเลือกข้างหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เมื่อมีกลุ่มใดๆ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างรุนแรงอย่าง เสื่อเหลือง เสื้อแดง สื่อก็ต้องความกล้าหาญ ปลุกประชาชน ปลุกผู้นำทางความคิดต่าางๆ นักวิชาการต่างๆ ออกมารุมประณาม กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเอง เพราะสังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ทำงานได้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น ลดผลกระทบมากมาย ลดความสูญเสียมากมาย จบเร็ว ไม่ยืดเยื้อ อย่างปัจจุบัน
4. สร้างปัญหาให้แก่ผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก ท่ำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายทำงานยิ่งยากขึ้น แม้จะรู้หน้าที่ดีก็ตาม ความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจึงแผ่ขยายไปทั่วอย่างที่เห็น สุดท้ายก็ต้องนำภาษีประชาชนไปใช้ ไปเยียวยาบ้านเมือง ผู้คนที่ได้รับผลกระทบ เงินภาษีเหล่านี้ แทนที่จะไปพัฒนาประเทศอย่างอื่นที่จำเป็น
แล้วยังจะบอกว่าสื่อสามารถเลือกข้างได้ (ที่ไม่ใช่ข้างคุณธรรมความดีงาม) อยู่อีกหรือ ? พ่อกูรูสื่อทั้งหลาย ฮ่วย...!!
พูดย้ำหลายหน ในประเทศที่เขาเจริญมาได้ เมื่อคน และระบบ "หลุด" ยังมาเจอสื่อกระแสหลักเป็นด่านถัดมา ที่คอยกำักับ ตรวจตรา พฤติกรรมเหล่านักการเมือง หรือคนทำงานสาธารณะ ที่มีท่าที หรือพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากหลักการคุณธรรมความดีงาม ที่สังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ให้ปรับเปลี่ยนท่าที พฤติกรรมให้อยู่ในธรรมนองคองธรรม ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ต่ออนุชนรุ่นหลังต่อๆไป และกระตุ้นเตือนหน่วยงานรัฐให้เข้ไปตรวจสอบดูแล บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และหากบุคคลเหล่านี้ยังคงไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็ต้องร่วมกันประณาม จนกว่าจะไม่มีพื้นที่ให้ยืน