Powered By Blogger
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สื่อเสรีที่เลือกข้างสร้างสันติภาพ หรือสงครามกลางเมือง ??

จากข่าวนี้ เนื่องในวัน"เสรีภาพสื่อมวลชนโลก" ตั้งชื่อประเด็นว่า "สื่อเสรีร่วมสร้างสันติภาพอย่างไร?"

กูรูสื่อกระแสหลัก นักสันติวิธี ใครต่อ่ใครมากันแยะว่างั้น ผู้อภิปรายทุกคนบอกว่าสื่อสามารถเลือกข้างได้ เพราะมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ  ผมจับประเด็นได้ดังนี้...

1. ต้องเป็นมืออาชีพ
2. ต้องมีความรับผิดชอบ (ไม่ได้บอกว่ารับผิดชอบใคร- เจ้าของเงิน,สื่อ ? หรือ ประเทศชาติและประชาชน ?)
3. สื่อสามารถเลือกข้างได้ เพราะมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
อันที่จริงเคยเขียนถึงบ้างแล้วเรื่อง ตัวอย่างความไร้ความรับผิดชอบของสื่อกระแสหลัก




1. ความเป็นมืออาชีพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ มีความกล้าหาญที่จะนำเสนอข่าวสารทั้งความจริง(Reality or truth) และข้อเท็จจริง (Facts) ลงในพื้นที่ข่าวที่มีคนเข้าถึงใด้มากๆ และลงซ้ำบ่อยๆ แม้จะทำให้ผู้เป็นข่าวเดือนร้อน ก็ต้องทำ นั่นคือหน้าที่ ต้องนำเสนอ กระตุ้นเตือนผู้เกี่ยวข้อง ฟ้องประชาชนให้ตื่นตัว ให้รับรู้ เมื่อกระทำอย่างต่อเนื่องจนปัญหานั้นๆ ได้รับการแก้ไข ดูแลเอาใจใส่ หรือจนประชาชนลุกขึ้นร่วมประณาม จนผู้นั้นหรือกลุ่มนั้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิฉะนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้ยืนอีกต่อไป

2.  นี่จึงเป็นการรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เจ้าของสื่อ ไม่ใช่กองบรรณาธิการสื่อ จึงถือเป็นสื่อสารมวลชนมืออาชีพ อย่าลืมต้องกล้าหาญด้วย

3. สื่อเลือกข้างได้ มีสิทธิ อันนี้อ้างกันจัง และเข้าใจกันผิดเพี้ยนไปหมดแถมยังแสดงทัศนะไปถึงลูกศิษย์ ประชาชนทั่วไปอย่างผิดๆ จริงอยู่ คนเราเกิดมาพร้อมด้วยสิทธิและเสรีภาพที่จะเลือกได้เสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างสีแดง หรือเหลือง หรือหลากสี สื่อเลือกข้างเท่ากับสื่อเห็นด้วยกับฝ่ายที่เลือก ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย ในสังคมไม่ได้มีแค่นี้ ทั้งสองฝ่ายมีทั้งที่ดีที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน ก็มีแนวทาง วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เราต้องยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เพื่อให้สังคมอยู่กันอย่างผาสุก ซึ่งสำคัญกว่าจรรยาบรรณสื่อ (Media's code of conduct) มากมายนัก  เราต้องมองให้กว้างกว่ากะลาที่ครอบหัวอยู่ ถ้าสื่อเลือกข้าง แล้วสื่อจะมีความยุติธรรมได้อย่างไร? มีแต่แบ่งพวกถือหาง ความแตกแยกยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยการถือหางของสื่อแต่ละฝ่าย อย่างที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน ตั้งแต่สื่อช้างเสื้อเหลือง มาถึงสื่อข้างเสื้อแดง ทำให้สังคมยิ่งสับสนข่าวสารต่างๆที่ท่วมหัวเต็มไปหมด ทั้งข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวจริง และข่าวที่ตั้งใจปั้นขึ้นเพื่อใส่ร้าย จนแยกแยะไม่ออก ต่อให้จบ ปริญญาเอก10ใบก็ตาม

ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ แค่ระดับครอบครัว.. พี่ชาย 8 ขวบ กับน้องสาว 6 ขวบทะเลาะกัน ไม่ยอมให้กัน พ่อแม่กลับมาถึง ฝ่ายแม่เข้าไปโอ๋ลูกชาย เข้าข้างลูกชาย ดุ ลูกสาวต่างๆนานา หาว่าไม่เคารพพี่ เป็นน้องต้องรู้จักเคารพพี่ ส่วนพ่อ เข้าข้างลูกสาว ดุลูกชาย บอกว่า เป็นพี่ทำไมรังแกน้อง เป็นผู้ชายนะต้องรู้จักเสียสละให้น้อง

เหตุผลที่พ่อแม่ต่างพูดกับลุกนั้นถูกต้องถูกแล้ว แต่ไม่พอ ไม่ควรเข้าข้างใคร โดยไม่ได้ตรวจสอบเหตุผล ความถูกผิด เหตุที่ทะเลาะกัน ทำให้ลูกๆทั้งสองนั้นสับสนแน่นอน เพราะว่า สาเหตุแห่งปัญหาไม่ได้รับการหยิบยกมาตัดสิน และมีหลักการอะไรในการชี้ผิด ชี้ถูกให้เป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ใช้"หลักกู" อย่างเดียว ?? และหาก พ่อแม่คู่นี้ทำแบบนี้ทุกครั้งที่ลูกๆทะเลาะกัน ลูกชายก็จะรู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย เป็นพี่ด้วยต้องเสียสละ ส่วนลูกสาวก็ รู้แต่เพียงว่า เป็นน้องต้องยอมพี่ แต่ไร้หลักยึดที่ถูกต้อง

ตัวอย่างนี้ชัดเจนที่สุด  ประเทศไทยเปรียบเหมือนบ้าน ขณะนี้มีกลุ่มคนหนึ่งกำลังจะเผาบ้าน สื่อที่เลือกข้างฝ่ายหนึ่งบอกว่า "ห้ามเผา อย่าเผานะนี่บ้านของพวกเรา" สื่อที่เห็นด้วยก็บอกว่า..."เผาเลยๆ ดีแล้ว เผาๆๆๆ" สื่อที่อ้างตัวเป็นกลาง ก็บอกว่า "กูไม่เกี่ยว กูไม่ยุ่งด้วย เดี๋ยวโดนลูกหลง" แต่ไร้สื่อกระแสหลักที่จะบอก ห้ามปราม โดยยกหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เคียงให้ประชาชนเห็น และสื่อออกไป บ่อยๆ ตอกย้ำ ให้ผู้นำความคิดต่างๆ ออกมาร่วมประณามกลุ่มคนที่กำลังเผาบ้าน

เป็นเพราะสื่อที่เลือกข้างและมองเห็นแค่ไ่ม่กี่สีนี้ ส่งผลแระทบอย่างใหญ่่หลวงต่้อประเทศชาติและสังคมไทยอย่างน้อย 4 ด้านด้วยกัน

1. ต้องปฏิรูปสื่อโดยด่วน  เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก  จึงขาดความเป็นธรรม จึงไม่กล้าประณาม เว้นแต่โดนคุกคาม ข่มขู่โดยตรง จึงออกมาประณาม จึงทำให้เป็นสื่อที่เห็นแก่ตัว เพราะ เรื่องชาติ บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ไม่สนใจ สนใจแต่ทรัพย์สิน บริวารตัวเอง แล้วอย่างนี้จะบอกเป็นมืออาชีพได้หรือ ??

การเลือกข้างของสื่อ ถือเป็นงานที่หยา่บมาก นี่ยังไม่ได้พูดถึง การที่สื่อกระแสหลักสมคบคิดกันเงียบ และเพิกเฉย ละเลย มองข้าม (Mainstream media's conspiracy of silence and oversight) ข่าวที่ควรนำเสนอ สื่อกระแสหลักมืออาชีพ เขาดู เขาวัดกันถึงขนาดนี้

2.สร้างความแตกแยกในสังคม  เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก สร้างความสับสน สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนที่เสพสื่อ ทั่วไป สับสน สร้างสนามรบเพิ่มขึ้น แพร่กระจายไปทั่วหัวระแหง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

3. ส่งเสริมลัทธิเอาอย่าง ให้เผาบ้านเผาเมือง เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก ทำให้กลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายได้ใจ ย่ามใจ มีคนห็นด้วยแม้จะทำด้วยความไม่ชอบธรรม ละเมิดกฎหมาย คุกคามข่มขู่นานา สร้างกฎหมู่ตัวเอง หึกเหิม ยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ มีมิจฉาทิฏฐิ(หลงผิด คิดผิด) เพิ่มมากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม หากสื่อเลือกข้างหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เมื่อมีกลุ่มใดๆ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างรุนแรงอย่าง เสื่อเหลือง เสื้อแดง สื่อก็ต้องความกล้าหาญ ปลุกประชาชน ปลุกผู้นำทางความคิดต่าางๆ นักวิชาการต่างๆ ออกมารุมประณาม กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเอง เพราะสังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ทำงานได้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น ลดผลกระทบมากมาย ลดความสูญเสียมากมาย จบเร็ว ไม่ยืดเยื้อ อย่างปัจจุบัน

4. สร้างปัญหาให้แก่ผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก ท่ำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายทำงานยิ่งยากขึ้น แม้จะรู้หน้าที่ดีก็ตาม ความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจึงแผ่ขยายไปทั่วอย่างที่เห็น สุดท้ายก็ต้องนำภาษีประชาชนไปใช้ ไปเยียวยาบ้านเมือง ผู้คนที่ได้รับผลกระทบ เงินภาษีเหล่านี้ แทนที่จะไปพัฒนาประเทศอย่างอื่นที่จำเป็น


ป.ล. ผมไม่เคยเขียนวิจารณ์สื่อในเครือผู้จัดการสักครั้ง เพราะ ไม่เห็นเหตุผลของความเป็นสื่อสารมวลชน นอกจากเป็นแค่.... newsletter


แล้วยังจะบอกว่าสื่อสามารถเลือกข้างได้ (ที่ไม่ใช่ข้างคุณธรรมความดีงาม) อยู่อีกหรือ ? พ่อกูรูสื่อทั้งหลาย ฮ่วย...!!

พูดย้ำหลายหน ในประเทศที่เขาเจริญมาได้ เมื่อคน และระบบ "หลุด" ยังมาเจอสื่อกระแสหลักเป็นด่านถัดมา ที่คอยกำักับ ตรวจตรา พฤติกรรมเหล่านักการเมือง หรือคนทำงานสาธารณะ ที่มีท่าที หรือพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากหลักการคุณธรรมความดีงาม ที่สังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ให้ปรับเปลี่ยนท่าที พฤติกรรมให้อยู่ในธรรมนองคองธรรม ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ต่ออนุชนรุ่นหลังต่อๆไป และกระตุ้นเตือนหน่วยงานรัฐให้เข้ไปตรวจสอบดูแล บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และหากบุคคลเหล่านี้ยังคงไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็ต้องร่วมกันประณาม จนกว่าจะไม่มีพื้นที่ให้ยืน


หากสื่อกระแสหลักยังคงเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ หมาขี้เรื้อนแก่ๆ ฝูงหนึ่งเท่านั้น และคอยหาโอกาส ฟัดเหยื่อ แบบดารา นักแสดง นักร้อง ที่เพลี้ยงพล้ำ หลงเข้ามา รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่กับนักการเมือง ที่กินบ้านกินเมือง นายทหารมาเฟีย นายทหารโกงกินภาษีประชาชน ไม่กล้าแตะ ..... น่าสังเวช

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

การเมือง : บทบาท หน้าที่องค์กรหลัก ของประเทศ

เมื่อวันพฤหัส ที่ผ่านมา ผมได้เขียนเรื่องThailand Internet broadband Road Map ?? แล้วบอกว่าจะเขียนต่อให้เสร็จ  แต่ด้วย การเมืองกำลังร้อนแรงเหลือหลาย วันนี้ก็จึงยังต้องเขียนเรื่องการเมืองอีกสักวัน

สื่อกระแสหลัก ผมได้เขียนถึงหลายหนมาก และคิดว่าก็ยังคงต้องเขียนถึงอีกมากมาย เรียกร้องให้รู้ ฝื้นจิตสำนึกถึง หลักคุณธรรมความดีงาม(Virtue of principle) ความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าวสารต่อประชาชน ซึ่งสำคัญยิ่งกว่า จรรยาบรรณสื่อ (Media's code of conduct) มากมายนัก

วัีนนี้ขอเน้นถึง นักวิชาการ ที่สังคมมองเห็นภาพ(แต่ความเป็นจริงอีกเรื่องหนึ่ง) ว่าเป็นมันสมอง เป็นกลุ่มคนที่มีภูมิ มีความรู้ เป็นปัญญาชน และก็น่าจะมีหลักการ มีวิจารณญาณ แยกแยะข่าวสารต่างๆ ได้ดีกว่า คนทั่วไป

นั่นคือภาพ ที่สังคม คนทั่วไปมองไปยังกลุ่มนักวิชาการ แต่ในความเป็นจริง ไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว มีนักวิชาการหลายคนมาก ที่ติดหล่ม กับทัศนคติ กระบวนทัศน์ ข่าวสารขยะ จนแยกแยะไม่ออกว่า หลักการอยู่ตรงไหน คุณธรรมความดีงามที่ต้องดำรงค์ไว้ก่อนข้อเรียกร้องใดๆ จึงหลงไปติดอยู่กับเสื้อสีต่างๆ โดยละเลยถึง หลักการ ความถูกต้อง เหมาะสม ความกล้้าหาญที่จะแสดงออก ใครก็ตามที่กำลังทำ หรือเตรียมการที่จะทำ หรือมีท่าทีว่าจะทำในสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักคุณธรรมความดีงาม อันเป็นเหตุให้บ้านเมืองเสียหาย ประชาชนเสียหายในวงกว้าง ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กและเยาวชน จึงสมควรประณาม จะในนามส่วนตัว หรือเป็นกลุ่ม เป็นสมาคม ก็ยิ่งดี และกระทำแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้กำกับ สื่อสารไปถึง คน หรือกลุ่มคนที่กำลังแสดงพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนเหล่านั้น ว่าสังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ให้เจ้าพนักงานของรัฐเข้าจัดการดูแล หากยังกระทำอยู่อีก ก็จะมีมาตรการกระตุ้นเตือน ที่หนักแน่น มากยิ่งขึ้น ให้สังคมได้ช่วยกันประณามกลุ่มคนเหล่านั้น และในที่สุดก็จะปรับปลี่ยนพฤติกรรม คนเหล่านั้นได้ และกันกลุ่มคนเหล่านั้นให้ออกห่างอำนาจรัฐ อันจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงหากยังให้โอกาสกลุ่มคนเหล่านั้นมีพื้นที่ มีอำนาจ มีอิทธิพล ต่อสัีงคมอยู่อีก อย่างเช่นกรณี เกิดเสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่ทำความเดือดร้อนแก่สาธารณะชนอย่างใหญ่หลวง อยู่ขณะนี้

การแสดงออก ของกลุ่มคน ที่จะช่วยกันกำกับพฤติกรรม คนที่ไม่ดี ที่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควร จึงเป็นหน้าที่ของทุกๆองค์ที่ต้องรับผิดชอบสังคมร่วมกัน ไม่เฉพาะ สื่อกระแสหลัก เท่านั้น หรือ นักวิชาการเท่านั้น เรียกร้องให้ทุกๆ กลุ่ม แต่ที่เน้น สื่อกระแสหลักก็เพราะ เป็นหน้าที่ และเข้าถึงคนได้คราวละมากๆ อยู่แล้ว ส่วนนักวิชาการ ก้เป็นปัญญาชน เป็นผู้นำทางความคิดที่ดีดี จึงมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้มาก

ในทางตรงข้าม หาก สื่อกระแสหลัก และ กลุ่มนักวิชาการ ไม่สามารถแสดงออก หรือไม่กล้าหาญ หรือแสดงออกแต่ไม่ได้ยึดถือถึงหลักคุณธรรมความดีงาม สังคมก็จะยิ่งสบสนวุ่นวาย อย่างที่เป็นอยู่ สังคมกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ใครนึกจะทำอะไรก็ทำ โดยเอาจำนวนคนมากหน่อย ไปจ้างวานแนวร่วมมาข่มขู่ เรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แสดงพฤติกรรมแบบเด็กกระทืบเท้าเอาของ เมื่อไม่ได้ทันทีก็ขว้างปา สิ่งของ ระเบิด ใช้กำลังเข้ายึดสถานที่ และสุดท้ายเราก็ต้องยินยอมทำตาม อย่างนั้นหรือ??????????????? เพี้ยนแล้ววว ไม่ใช่แน่

การที่อธิการบดีสามมหาวิทยาลัย ออกข่าวเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาล และ แกนนำเสื้อแดง หันหน้าคุยกัน(อย่าหันก้นคุยกัน) หาทางออกของประเทศ (ข่าว) จึงเป็นสิ่งที่ผิดช่วงเวลา และไม่ได้ยึดถือหลักคุณธรรมความดีงามที่ต้องดำรงค์ไว้ก่อนข้อเรียกร้องใดๆ การออกมาเรียกร้องของท่านอธิการบดีดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการยอมรับพฤติกรรมเถื่อนของกลุ่มแกนนำเสื้อแดง ให้ท้าย หรือแกนนำเสื้อเหลืองก่อนหน้านี้ก็ตาม

ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านอธิการบดีทั้งสาม สื่อกระแสหลัก และ กลุ่มอื่นๆ ออกมาพร้อมๆกันประณาม  พร้อมๆกันทั้งประเทศ ให้กำลังใจ สนับสนุนเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จริงจัง และใช้วิธีการที่ถูกต้อง มีเมตตาธรรมต่อกัน  ถามว่า จะสามารถปรับเปลี่ยนท่าทีเถื่อนๆ วิธีการอหิสาปลอมๆ ข้อเรียกร้องที่ไม่ชอบธรรม พฤติกรรมคุกคาม ข่มขู่ ของแกนนำเสื้อแดงได้หรือไม่ ??

ยกตัวอย่าง มี นศ. ท่านหนึ่งโกงข้อสอบ มีหลักฐานชัดเจน ถูกอาจารย์ปรับเกรดตกในวิชานั้น เกิด นศ. คนนั้นไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยที่อาจารย์ทำกับเขาอย่างนั้น จึงเรียกร้อง โวยวาย ประท้วงอาจารย์ท่านนั้นให้ลาออกไปเสีย อ้างว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไปพาพวก นศ.มา จ้างวานมา ให้ขับไล่อาจารย์ท่านนั้นออก และ ขอสอบใหม่ หรือ ไม่ต้องปรับเกรดตก หากไม่ทำตามข้อเรียกร้องนี้จะเผาตึก เผาคณะ เรื่องถึงอธิการบดี แทนที่ ท่านอธิการบดีจะ อบรมสั่งสอนไล่เด็กก้าวร้าว รุนแรงนี้ออก และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการ กลับบอกว่า "อาจารย์ (ที่ปรับเกรด นศ. ตก) คุยกับ นศ. เสียนะ อย่างให้เรื่องวุ่นวายไปมากว่านี้อีกเลย" (อธิการบดีปวดหมอง) (นศ.คนนี้ตอนเด็กๆ ก็ใช้พฤติกรรมกระทืบเท้าเอาของกับพ่อแม่ โตขึ้นมา เป็น นศ. ก็ยังใช้วิธีนี้อยู่ และเมื่อเรียนจบไปหากเป็นนักการเมืองก็จะเป็นแบบแกนนำเสื้อแดง เสื้อเหลือง เพราะเรียนรู้ว่า ทำแล้วได้มาตลอด -จังไรแมน !!)

อาจารย์ นักวิชาการ จะสั่งสอน อบรม นศ. ได้อยู่หรือ ถ้ามีทัศคติ วิธีคิด กระบวนทัศน์เยี่ยงนี้ น่าห่วงอย่างยิ่ง กับพฤติกรรามผู้นำทางสังคมที่มีวิธีคิด ทัศนคติ เยี่ยงนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้นำทางสังคมไทยหลายต่อหลายท่าน แยกแยะไม่ออกว่า อะไร เป็นเหตุ อะไรเป็นผล อะไรคือเรื่องส่วนตัว อะไรคือเรื่องส่วนรวม กระทบกว้างใหญ่ต่อสังคมแค่ไหน ควรมีหลักยึด หลักคิดอย่างไร ที่เป็นปทัสถานให้สังคมอยู่กันได้อย่างผาสุก และยั่งยืน

ขอเสนอ และขอเรียกร้องให้ผู้นำทางสังคม ทุกๆด้านได้ออกมาประณาม พฤติกรรมแกนนำเสื้อแดง ที่กระทำอยู่ ในแง่ของมหาวิทยาลัยที่แกนนำเสื้อแดงสำเร็จการศึกษามา ขอเสนอให้ถอดถอนปริญญาบัตรทั้งหมด เพื่อเป็นการ แสดงจุดยืนของมหาวิทยาลัย และยึดหลักคุณธรรมความดีงาม และเป็นการกำกับ พฤติกรรม แกนนำเสื้อแดง ให้อยู่กับร่องกับรอย

ส่วนเหตุผล ก็เพราะ แกนนำเสื้อแดง เหล่านี้ ทำให้มหาวิทยาลัยเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติภูมิ สถาบัน ซึ่งมีลูกศิษย์ที่ดีมากมาย เพราะสถาบันไม่ได้สั่งสอน ปลูกฝังให้ลูกศิษย์ มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ นี่เป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่คนที่เกี่ยวข้อง สามารถช่วยกัน กำหราบพฤติกรรมอันไม่พึงปรารถนา ของคนลงได้ และต่อไป ทางคณะกรรมการมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะนำกรณีนี้เป็นแบบอย่างได้จะดีมาก  ใครทำชั่วร้ายแรง นักการเมือง ข้าราชการ ทั้งหมด ที่โกงกินบ้านเมืองที่ต้องคำพิพากษาแล้ว ถอดถอนปริญญาให้สิ้น ร่วมด้วยช่วยกัน กวาดคนไม่ดีออกห่างพื้นที่สาธารณะ และส่งเสริมคนดี มีคุณธรรม ให้ได้ทำงานเพื่อสังคมที่ดีงามต่อๆไป



การจ้างวานมาร่วมชุมนุมของแกนนำเสื้อแดง





การกระทำทั้งหลายทั้งปวง ของแกนนำทั้งสองสี ที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ผิดกฎหมายแทบทั้งสิ้น และเป็นพฤติกรรมที่ต้องได้รับการประณาม แม้นจนบัดนี้ กลุ่มแกนนำทั้งหลายก็ยังไม่ได้มีสำนึกสักนิดว่า เป็นความผิดของตัวเอง คำนึงถึงแต่ชัยชนะ บนเส้นทางที่ขรุขระยิ่ง ที่จะนำพาประเทศชาติให้รุ่งเรืองได้
นอกจากความมัน สะใจ และ หลอกตัวเองว่า ชนะแล้ว !!!

การที่นานาชาตืเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง ก็ดี  47 ประเทศนานาชาติอย่างน้อยที่ออกมาเตือนพลเมืองชาติตัวเอง ในการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยก็ดี โดยเฉพาะประเทศจีนที่ห้ามสายการบิน ไชน่าแอร์ไลน์บินเข้าไทย ฯลฯ ล้วนเป็นการส่งสัญญาณ เป็นการกำกับพฤติกรรมระดับประเทศ ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะที่เป็นประชาคมโลก ที่ไม่ต้องการเห็นการทำร้าย ทำลายกัน เข็ญฆ่ากัน ซึ่งไม่ใช่หลักคุณธรรมความดีงาม นั่นเอง แต่องค์กรต่างๆ สถาบันต่างๆ ผู้นำทางความคิดต่างๆ นักวิชาการ ต่างๆ กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย กลับไปให้ท้าย แทนที่จะประณาม ตำหนิ คนละเมิดกฎหมาย

หากยังไม่เรียนรู้ หรือเรียนรู้ช้า สังคมไทยก็จะมีแต่ความก้าวร้าวรุนแรง มีกลุ่มอิทธิพล ที่มีเงิน มีอำนาจ โยงใย ไข้วไป มา เท่านั้นที่มีกองกำลังติดอาวุธ เล็กใหญ่ ไว้คอยคุ้มครองทรัพย์สิน และบริวารตัวเอง และบงการ ความเป็นไปของประเทศ แล้วแต่ว่า ผลประโยชน์ที่ตกลงกันได้กับรัฐบาล เพราะรัฐบาลไร้อำนาจ ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ต้องฟัง ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้เวลาจะออกนโยบายใดๆ ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ตั้งหน้าตั้งตา "เกาะ" "สุบ"ความมั่งคั่งของประเทศชาติ และประชาชน เหมือนเช่นประเทศฟิลิปปินส์ ขณะนี้ ที่มีกองกำลังติดอาวุธเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด เราอยากเห็น อยากเป็นเช่นนั้นหรือ????

จึงเป็นไปได้ยากตามแนวคิดของ พลตรี มนูญ รูปขจร (ข่าว-อ่านความเห็นคุณศิวัช)

ขอเน้นย้ำอีกหนว่าแนวคิด ระบบการคัดกรองนักการเมือง เป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ ปัญหา่ต่างๆที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้จะค่อยๆหมดไป หรือลดไปมากกว่า 90%

ทุกวันนี้ประเทศที่เจริญมาได้ เมื่อคนและระบบ"หลุด" สื่อกระแสหลักที่ดีประสานกัน และผู้นำทางความคิดต่างๆ องค์กรต่างๆที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อประชาชน เป็นด่านต่อมา เพื่อกำกับ ตรวจตรา พฤติกรรมกลุ่มคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย สร้างความเสียหายให้บ้่านเมือง ละเมิดกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องถูกประณาม ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  มิฉะนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้อยู่ เพราะ สีงคมที่รักสงบไม่ต้องการ แต่กรณีประเทศไทย "หลุด" หมด จึงเป็นอย่างที่เห็น

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

สื่อกระแสหลักกับ หลักคุณธรรมความดีงาม

ทุกปัญหา ที่เป็นเรื่องของสาธารณะ ที่มีผลกระทบกับสังคม คนหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง กองบรรณาธิการสื่อกระแสหลัก ต้องมีจุดยืน ที่อยู่บนหลักคุณธรรมความดีงาม ไม่ว่าใคร ฝ่ายไหน จะทำสิ่งที่ผิดเพี้ยน เบี่ยงเบียงไปจาก หลักการนี้ ต้องได้รับการคัดค้าน ทักท้วง ไปจน ประณาม เพื่อให้คนในสังคม ได้ตระหนัก อย่างต่อเนื่อง และจริงจัง เพราะ ประชาชนทั่วไปไม่มีพื้นที่มากพอ ที่จะแสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ (เนื่องจากสื่อใหม่ ยังไม่มีพลังมากพอ-เติมโตช้าอยู่มาก แต่คงไม่นาน จะมีพลังมากแน่นอน)


ภาพจาก เอพี: ขวดเลือดที่กลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงได้จากผู้ประท้วงด้วยกัน จะนำไปเทหน้าประตูรัฐสภา

เรื่องความเป็นกลาง ที่สื่อกระแสหลักมักอ้างนั้น ไม่มีอยู่จริงในทางปฎิบัติ ตั้งแต่มนุษย์รู้จักใช้วิจารณญาณแล้ว เพราะว่า มนุษย์ ทุกคนไม่มีบทบาทดียวในชีวิตจริง มีทัศคติ เช่น บทบาทคนเป็นพ่อแม่ พลเมืองที่ดีของประเทศ ครู อาจารย์ ตำรวจ ทหาร นักการเมือง ชาวนา ชาวไร่ พ่อค้า ซึ่งคนคนหนึ่งมีบทบาทอย่างน้อยสองบทบาท เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่ คนทุกคน ทั้งโลกนี้ที่ต้องยึดถือ ที่เป็นจุดร่วมกันก็คือ หลักคุณธรรมความดีงาม เพื่อให้สังคมอยู่กันได้อย่างผาสุก

ส่วนการรายงานข่าวของนักข่าว ณ สถานที่เกิดเหตุ สด หรือแห้งก็ตาม นั้น ก็รายงานตามข้อเท็จจริง ในสนาม ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ? ส่วนกองบรรณาธิการข่าวต่างๆนั้น จะต้องบริหารจัดการข่าวสาร พื้นที่สื่อ ให้เหมาะสมโดยเหนือสิ่งอื่นใด ต้องยึดหลักคุณธรรมความดีงาม ของบ้านเมือง เพื่อความสงบสุข ของสังคม นี่คือสื่อที่ดี ที่มีคุณภาพ รับผิดชอบ

ยกตัวอย่างเช่น กรณีคนเสื้อแดงประท้วงอยู่ขณะนี้ จริงอยู่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญให้ทำได้ แต่ภายหลังที่ทราบข้อเรียกร้องของแกนนำเสื้อแดง ในครั้งนี้แล้ว ถามว่า หากยุบสภาแล้ว ปัญหาหมดไปหรือไม่ ??
ก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งปัญหาทางการเมือง ไม่เกี่ยวกับการยุบสภาและแค่เลือกตั้งใหม่ และก็ไม่เคยเห็นการเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา กองบรรณาธิการข่าว จะต้องประณาม แกนนำคนเสื้อแดง ที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่รู้จบ เป็นแบบอย่างที่เลวร้ายให้แก่เด็กและเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง หรือกรณีแกนนำคนเสื้อเหลือง ก่อนหน้านี้ก็ตาม กรณีนั้นยิ่งเลวร้ายมาก บุกยึดสถานที่ราชการ ต่างๆด้วย ต้องประณาม อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง พร้อมกับ แนะนำให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น ชุมนุมอย่างสันติเท่านั้น และ ข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ยกขึ้นมานั้นมีความชอบธรรมหรือไม่ ?? ถ้าชอบธรรม อีกกี่สิบปีก็ยังชอบธรรมอยู่ บางครั้งการเรียกร้องอะไรไม่ได้รับผลตามข้อเรียกร้องทันที ทันใด โดยเฉพาะทางการเมือง จึงต้อง มุ่งมั่นในหลักการ คือข้อเรียกร้องต้องมีความชอบธรรม และ สันติวิธี

สื่อกระแสหลัก อาจไม่ใช่เป็นคนแรกที่จุดประเด็นในปัญหาต่างๆ แต่เป็นหัวหอก และมีพื้นที่ ในการรณรงค์ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในหลักคุณธรรมความดีงาม ให้แกนนำเสื้อสีต่างๆ หรือใครก็ตามที่คิดจะก่อความวุ่นวาย หรือเรียกร้องอะไร แล้วละเมิดสิทธิของคนอื่น ได้ตระหนัก ว่า ถ้าหากยังจะกระทำความวุ่นวายอยู่อีก ท่ำให้บ้านเมือง ผลประโยชน์โดยรวมเสียหาย เสื่อมเสียอยู่อีก จะต้องได้รับการประณาม และ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาบังคับใช้กฎหมาย โดยทันที

บทบาทของเราทุกคนในระบอบประชาธิปไตย เหมือนมีวงกลมให้แสดง ไม่ใช่ขีดเส้นให้่เดินตามเส้นทางที่ขีดไว้ หากมีใครตั้งใจจะเล่นคาบเส้น หรือ นอกวงกลม ก็จะมีคนในสังคมตักเตือนกันเอง(self-regulation) ก่อน อันนี้สื่อกระแสหลัก จะมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ในการกำกับพฤติกรรมของ คนที่ทำงานสาธารณะ และหากยังเห็นมีพฤติกรรมเล่นนอกวงกลมอยู่อีก บ่อยๆ ก็จะมีเรื่องของกฎหมาย บ้านเมืองเข้ามาจัดการดูแล เพื่อให้สังคมอยู่กันอย่างผาสุก

อันที่จริง การเรียกร้องของแกนนำทั้งสองสี ต่างก็ข้อเท็จจริงอยู่ ที่ต้องได้รับการแก้ไข ตามข้อเรียกร้อง (แต่แกนนำทั้งสองสี ก็ไม่ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืนได้) แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และ แนววิธีการในการเรียกร้อง ที่ยุแหย่ให้คนในชาติเกลียดกันเอง แตกแยก ร้าวลึก จนเป็นปัญหาซ้อนปัญหา ก็ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง และสมควรกระทำ

สื่อกระแสหลักต้องเลือกข้าง.... ไม่ใช่ข้างกลุ่มสีหนึ่งสีใด แต่เป็น....ข้างคุณธรรมความดีงาม



วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

น.ส.พ.ไทยรัฐพาดหัวข่าว บิดเบือนข่าวอย่างน่าละอาย


น.ส.พ. ไทยรัฐ ฉบับวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2553 แต่ออกตอนบ่ายวันอาทิตย์ เจตนาบิดเบือนข่าว โดยพาดหัวข่าวว่า "เสธ.แดง พา เคทอง เข้ามอบตัว" โดยข้อเท็จจริง เสธ. แดง แค่มาตรวจสอบความคืบหน้าคดี เคทอง อาจจะคิดไว้จะส่งมอบตัว แต่ก็ยังไม่ได้ให้เคทอง ลงจากรถตู้เพื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่ง เคทอง ถูกออกหมายจับตัวอยู่ ถ้าตั้งใจพาเคทอง เข้ามอบตัวจริงก็ต้อง ให้เคทองลงจากรถ ไปพบเจ้าพนักงาน ไม่ใช่นั่งเอาหนังสือพิมพ์ปิดหน้าตา หลบอยู่ในรถตู้ที่สวมทะเบียนปลอม พร้อมชายฉกรรจ์ พกพาอาวุธปืนครบมือ


เจตนา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐบิดเบือนข่าวนี้เพื่ออะไร ?? และ เจตนาออกเป็นกรอบเช้าวันจันทร์ ของต่างจังหวัด ด้วย คงจะต้องการสื่อสารข่าวที่บิดเบือนนี้ ไปสู่พี่น้องเสื้อแดง ที่อยู่ ต่างจังหวัด ให้เห็นอก เห็นใจ เสธ แดง เคทอง และ พวก ว่าสื่อทุกสื่อ ที่ออกข่าวนี้ไป ไม่ถูกต้อง เสธ. แดงพาเข้ามามอบตัวเอง ไม่ได้ถูกจับ ถ้ามองให้ลึกแล้วบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ต้องการสร้างกระแส ให้กับตัวเองในหมู่คนเสื้อแดง โดยการบิดเบือนข่าว จรรยาบรรณหายไปไหน...(ว่ะ)

กองบรรณาธิการข่าวไทยรัฐ นอกจากจะไม่มีจุดยืน ในเรื่องความถูกต้อง คุณธรรมความดีงามแล้ว ยัง บิดเบือนข่าวอีก น่าทุเรศมาก บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ ต้องการสื่อที่ยืนอยู่ข้างคุณธรรมความดีงาม เพื่อให้ กลุ่มคนที่ สร้างปัญหาให้บ้านเมือง ไม่ว่าใคร เสื้อสีอะไร ได้ตระหนัก ในพฤติกรรม ที่สังคมรักสงบไม่เอาด้วย โดยสื่อเป็นหัวหอก ประณาม แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ กลับปกป้อง คนมีหมายจับ คนที่พกพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต คนที่สวมทะเบียนปลอมรถตู้ คนที่พร้อมที่จะก่อความรุนแรงให้กับบ้านเมือง

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นสวะ่ของสังคมไทย จริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สื่อกระแสหลัก ต้องมมีจุดยืด และกล้าหาญ

สื่อกระแสหลัก ดั้งเดิม อย่าง สื่อสิ่งพิมพ์ ทีวี และวิทยุ เป็นหนึ่งในสามส่วน ที่ผมเคยเขียนถึงบ่อยๆ หากจะแก้ปัญหาการเมืองไทย ได้อย่างยั่งยืน ต้องบูรณาการสื่อด้วย เพราะ มีความสำคัญต่อสังคมมนุษย์ ที่เป็นสัตว์สังคม ที่ล้วนแตกต่างกัน ทั้ง จิตสำนึก วิจารณญาณ ทัศนคติ วิธีคิด ท่าที พฤติกรรมต่างๆ

สื่อ ย่อมรู้ และเป็นหน้าที่ ช่วยตรวจสอบ บุคคลสาธารณะ ได้ดีกว่าคนทั่วไป และ สามารถเข้าถึง คนหมู่มากได้ เมื่อคนคน หนึ่ง หรือกลุ่มคนหนึ่ง ที่หน้าฉาก มีการศึกษาที่ดี ชาติตระกูลดี มีชื่อเสียง มีทรัพย์สิน เงินทองมากมาย จะเป็นคนที่เหมาะสม ให้บริหารกิจการบ้านเมืองได้ ฝากลูก ฝากหลาน ฝากอนาคตของชาติไว้ได้อย่างสบายใจ และคนเหล่านั้น มีความมุ่งมั่น ในเจตจำนงทางการเมือง(Political will) ที่สร้างสรรค์ เพื่อสังคมโดยรวม อย่างทุ่มเท เสียสละ สื่อกระแสหลัก มีบทบาทสำคัญยิ่ง ที่สนับสนุน คนดี มีคุณธรรมให้สังคมได้รับทราบ และกระตุ้นเตือนสังคม ให้ได้ทราบถึงคนไม่ดีไม่เหมาะสม ที่จะทำงานสาธารณะ ช่วยแยกแยะ คัดกรอง คนเหล่านี้ ให้ออกห่าง อย่าให้ได้มีโอกาสเข้าสู่อำนาจรัฐได้

Arianna Huffington - Commencement 2009 from CUNY Grad School of Journalism

Arianna Huffington ผู้่ก่อตั้งร่วม หนังสือพิมพ์ The Huffington Post บอกว่า " Journalism is to speak truth to power" and said " Journalists have incredible responsibility to remember and remind the world about things, many of our leaders continue to want to forget"

ถ้าสื่อมีจุดยืน มีหลักยึดในคุณธรรมความดีงาม อย่าห่วงว่า จะมีคนกล่าวหาว่า ไม่มีความเป็นธรรม เรื่องความเป็นกลางนั้น ไม่เคยเห็น ไม่เคยมีในโลก ตั้งแต่มนุษย์รู้จักใช้วิจารณญาณ แล้ว บ้านเมืองที่วุ่นวาย สับสน "ผู้ยิ่งใหญ่" ทั้งหลาย ที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เห็นคุณค่าในชีวิตคนอื่น และยังคงกระทำตัวเหมือนมีกฎหมายไว้คอยรับใช้ตัวเอง ค่านิยมของสังคมที่ผิดเพี้ยนไป เพราะสื่อหลงคิดว่า ต้้องเป็นกลาง จึงวางเฉยต่อ จุดยืน หลักคุณธรรม ความดีงาม ได้แต่เอาไมค์ไปจ่อปากคนโน่นที คนนี้ที ก็คิดว่า ได้แล้ว เป็นกลางดีแล้ว สื่อกระแสหลัก มีส่วน แต้ม เติมสี ส่งเสริม ให้เป็นไป สื่อบางแขนงอาจใช้ หรือได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วยซ้ำ

ในโลกที่แบนราบลงทุกขณะนี้ ข่าวสาร ต่างๆมีมากมาย เป็นล้านๆเรื่องในแต่ละวัน และวันก่อนๆอีกล่ะ ท่วม พื้นที่เสนอข่าวสาร ทุกรูปแบบ อย่างเทียบกันไม่ได้ กองบรรณาธิการ ของสื่อ จะเลือกเสนอข่าวสาร อะไร บนพื้นที่ตรงไหน อย่างไร อย่างรับผิดชอบต้อประชาชน ตรงนี้ต่างหาก ที่บ่งบอกว่า เป็นสื่อที่ดีมีคุณภาพ จรรโลงสังคม และสร้างสรรค์ร่วมกัน

กองบรรณาธิการข่าว จะนำเสนอเรื่องมดสองตัวกัดกัน ก็ได้ หรือ เสนอข่าว นักการเมืองสมคบกับข้าราชการ ในองค์การคลังสินค้า ขโมยสต๊อกข้าวของรัฐบาลเป็นหมื่นๆตัวได้อย่างไร?? นำเสนอ อย่างต่อเนีื่อง บนพื้นที่ที่เด่น คนอ่านมากๆ ขุดคุ้ย จนสังคม ผู้เสียภาษี ตระหนักถึงผลเสีย ต่อภาษีอากรของตัวเอง และกระตุ้น เตือน ให้เจ้าพนักงาน เร่งการตรวจสอบ เอาข้อเท็จจริง มาบอกกับประชาชน ลงโทษคนโกงกิน นำภาษีประชาชนกลับคืนมา ข่าวไหน น่าจะส่งผลต่อสังคมโดยรวม ดีกว่ากัน หรือ เสนอข่าว ดารา นักแสดงหญิง ตบตีแย่งชิงผู้ชาย อย่างเมามัน เกาะติด พาดหัวตัวไม้่ หรือ ออกอากาศเป็นตอนๆ รายงานผลคืบหน้า การตบตีแย่งชิงผู้ชาย ราวกับถ้าพลาดข่าวนี้ แล้ว สื่อตัวเองจะเจ๊ง

สื่อสามารถปั้นข่าวให้ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว เป็นเทาได้ จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นเรื่องจริงได้ ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน หรือพวกพ้อง หากช่วงหนึ่งช่วงใด "พร่อง" ในจิตสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน

สื่อกระแสหลัก ต้องมีจุดยืน กล้าหาญ และย้ำเตือนถึง หลักคุณธรรม ความดีงาม ให้แก่สังคม และกระตุ้นจิตสำนึกรับผิดชอบ นักการเมือง หรือผู้นำ ให้รับผิดชอบต่อประชาชน ต่อเงินภาษีของประชาชน อย่างสม่ำเสมอ มิฉะนั้น สื่อเหล่านี้ ก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับการ "แสดง" "จำอวด" ไปเรื่อยๆ ก็จะไร้ราคา ค่างวด

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ต้องตรวจสอบ การจัดซื้อ ไม้ล้างป่าช้า ทุกยี่ห้อ

ใครอยากจะทดสอบ เจ้าไม้ล้างป่าช้า ก็ทำไป แต่ที่แน่ๆ ต้องตั้งกรรมการตรวจสอบ การจัดซื้อ เครื่องมือ นี้ทุกยี่ห้อ ทุกหน่วยงานที่ได้จัดซื้อไป ไม่ว่าจะซื้อกี่เครื่อง ไม่ว่าจะเป็น SNIFFEX, ADE-651, GT200, H 3 TEC, HEDD1 ALFA 6, MOLE หรือ ยี่ห้ออื่นใดที่หน่วยราชการไทยได้จัดซื้อมาแล้ว ทำความจริงให้ปรากฎ

อ. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

สิ่งที่แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว ทำนอง นักวิชาการไม่รู้อะไร นั่งอยู่แต่ในห้องแอร์ คิดแค่มิติเดียว ไม่ได้สำผัสในภาคสนามจริง ฯลฯ นั้น (ข่าวยืนยันจะใข้ไม้ล้างป่าข้าต่อไป) เท่ากับกำลังจะบอกว่า สิ่งที่ทางการอังกฤษจับตัวเจ้าของบริษัท ไม้ล้างป่าช้าแล้ว หน่วยงานทางการสหรัฐ(The US Department of Justice warns...)(บล๊อกเกอร์, นี่ด้วย) อ. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์(ความในใจ อ. เจษฎา) และสื่อต่างๆ ออกมาเตือนนั้น ผิดหมดอย่างนั้นหรือ?? ตัวเอง หน่วยงานของตัวเองทำถูกต้องแล้ว อย่างนั้นหรือ?? ผู้จัดซื้อ ซื้อได้ราคาสมเหตุสมผลแล้วอย่างนั้นหรือ? นี่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงทัศนคติของคน ที่ไม่ยอมรับอะไรที่ต่างไปจากที่ฝ่ายตัวเองคิด ฝ่ายตัวเองทำ ไม่ค่อยยินยอมให้มีการตรวจสอบ คุ้นเคยกับการทำอะไรลับๆ คนเสียภาษีไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบเงินของเขาหรืออย่างไร? ว่าใครเอาเงินภาษีของเขาไปทำอะไร มีประโยชน์ คุ้มค่า หรือไม่ เขาทำไม่ได้หรือ ?

บล๊อกน้อง นศ. จุฬาฯ คนนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของผู้ใหญ่ในวันนี้ ส่งผลต่อเด็กในวันนี้ และ วันหน้า !!

ผู้เกี่ยวข้องกับ ไม้ล้างป่าช้า ผู้จัดซื้อ ทหาร หรือใครอื่นใดที่กำลังโต้เถียง หลักการทางวิทยาศาสตร์ อยู่ โดยมีเจ้าไม้ล้างป่าช้า เป็นกรณีศึกษานั้น จะส่งผลรุนแรงมากต่อ ทัศนคติ ความเชื่อ ความศัทธา ของเด็ก และเยาวชน ต่อระบบราชการ การบริหารจัดการทางการเมือง หลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม ความถูกต้อง เพราะ เด็ก เยาวชน เรียนวิทยาศาสตร์ และหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้สอนให้เชื่อ ไม้ล้างป่าช้า แต่ผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ...กำลังทำสิ่งที่เด็กๆ เยาวชนเรียกว่า.... "แก้ตัว..ปกปิด..ความผิด..ตัวเอง"

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

GT 200 : ไม้ล้างป่าช้าที่ไร้ประโยชน์ และแพงสุดๆ

GT200 เครื่องตรวจจับวัตถูระเบิด หรืออาจารย์จาก จุฬาฯ เรียกว่า ไม้ล้างป่าช้า เจ็บปวดที่สุด คนระดับผู้นำกองทัพ หมอ หรือคนอื่นๆที่มีส่วนได้เสีย กับ ไม้ล้างป่าช้าชิ้นนี้ งมงาย อย่างไร้สติ ตรึกตรอง หรือว่า ผลประโยชน์ จากส่วนต่างของราคาไม้ล้างป่าช้า มันปิดปากอยู่ ?? (ผมยังชื่นชม คุณหมอ พรทิพย์ ที่เสียสละ ทุ่มเท อยู่นะ ขออย่าได้ออกมาพูด อย่างที่เคยพูด อีกเลย)

GT200 Detector

ที่สำคัญคือชีวิตผู้คน ที่โดนไม้ล้างป่าช้าชี้ไป ที่ตัวเขา ทั้งๆเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ กักขังเขาไว้ สังสัยเขา และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไว้วางใจไม้ล้างป่าช้า เมื่อ บ่ายวันที่ 6 ต.ค. 52 ที่ สุไหงโก-ลก มีผู้แจ้ง รถต้องสงสัยจะมีระเบิดซุกซ่อนไว้ แต่ไว้ใจ ไม้่ล้างป่าช้า เพราะมันบอกว่า ไม่มีระเบิด แต่แล้ว... ระเบิดใส่ มีผู้คนบาดเจ็บ 20 ราย ล้มตาย 1 ราย แต่ผู้บังคับบัญชากลับไปโทษคนใช้เครื่องนี้ และ ล่าสุดที่ ยะลา เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 52 ที่นายกมาเลย์ นาจิบ ราซัค เยือนภาคใต้ (ข่าว) (ข่าว) และ ที่อิรัก (ข่าว)

ตั้งแต่ใช้ไม้ล้างป่าช้า ช่วยในการทำงาน มีผู้เสียชีวิตเพราะ ไม้ล้างป่าช้า แล้ว 4 ราย เจ้าหน้าที่ 3 ราย พลเรือน 1 ราย บาดเจ็บไม่รู้กี่สิบราย (ข่าว)

(PLEASE HELP WARN THE POLICE IN MEXICO AND AROUND THE WORLD NOT TO BUY THESE WORTHLESS PRODUCTS THAT MAKE THE POLICE AND CITIZENS LESS SAFE. THEY JUST MAKE THE CRIMINALS SELLING THESE DOWSING RODS RICHER!)

นี่คือผลการทดสอบโดย Naval Explosive Ordnance Disposal Technology Division USA (http://www.scribd.com/doc/26050076) ผลการทดสอบ 22 ครั้ง ทำงานได้ถูกต้อง 5 ครั้ง หรือ 22.7%

ทำให้คิดสงสัย มากยิ่งขึ้นว่า จะมีการ "เลี้ยงไข้" ปัญหาภาคใต้ไว้ จะได้มีงบ ประมาณ หรือ เงินภาษีประชาชน ไปจัดซื้อ จัดจ้าง ได้อย่างง่ายๆ จะเป็นจริง ?? ขออย่าให้มีคนทำแบบนี้เลย ... เพี้ยง !!

มาถึงเรื่องสำคัญ คือเรื่องจัดซื้อแพงโค-ตรๆ !! ทั้งๆที่ราคาที่เจ้าของไม้ัีล้างป่าช้า ขายทั่วไป ก็แพงโค-ตร 82,500 บาทต่อชุดแล้ว (ข่าว) ตาสี ตาสา สั่งซื้อทางออนไลน์ได้เลย (แต่ตอนนี้เว็บไซต์ถูกปิดไปแล้ว) ตามที่เคยเขียนวันก่อนนี้ วันนี้ข่าวทีวีข่อง3 ตอนเย็น ผู้ขายบอกว่า ที่ขายแพงเพราะ มีค่าวิจัยพัฒนา และบริการหลังการขาย ฮ่า ..ฮ่า... ไม้ล้างป่าช้า มี R&D ด้วย ฮ่าๆ ตอแหล ได้หยาบมากเลย งานนี้ ต้องเอาความจริงให้ปรากฎ

ขอตั้งคำถาม ซัก 2 ข้อ ...
1. ออก TOR มาได้อย่างไร ?? ขอ TOR มาดูหน่อย
2. เมื่อผู้ขาย ขายทั่วไป ที่ราคา 82,500 บาทต่อชุด (ข่าว) แต่กองทับบก และหน่อยราชการอื่นๆ ซื้อในราคา 9 แสน-1.6 ล้านบาทต่อชุด ถ้าเป็นบริษัท ของคุณเอง จะซื้อหรือไม่ ?? มีแต่ยิ่งซื้อมากยิ่งถูก

ปัญหาของประเทศไทย ทุกๆ เรื่อง มาจาก... คน (นักการเมือง ข้าราชการ หรือผู้ที่ทำงานสาธารณะ)
1. ที่ขายจิตวิญาณ ให้กับเงิน ผลประโยชน์ เฉพาะหน้า
2. เส้นแบ่งระหว่างหลักคุณธรรม ความดีงาม และผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน กับความชั่ว ความเลว มันเบลอ ในจิตสำนึกของคนเหล่านี้ มองไม่ชัด แยกไม่ค่อยออก
3. กระบวนทรรศน์ (mindset) ตีบตื้น คับแคบ ทัศนคติ (attitude) เชิงลบ ระบบอุปถัมภ์ ที่แปรเปลี่ยนเป็น ซ่องโจร เจ้าพ่อ มาเฟีย

"The big obstacle that remains is mindset, If you(politicians) want your folks for more prosperity and well-being, you(politicians) have to change the way you think"

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สื่อกระแสหลัก กับกรณีนายรักเกียรติ สุขธนะหลังพ้นโทษ

สื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อโทรทัศน์ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่ ติดตามทำข่าวนายรักเกียรติื โดยเฉพาะในแง่ของ การนำเสนอข่าว แล้วผูกโยงกับจิตสำนึก เรื่องคุณความดี หรือ นายรักเกียรติ อยากทำอย่างนั้น อยากทำอย่างนี้ เพราะได้สำนึกแล้ว เช่น เมื่อหัวค่ำ ทางช่อง สทท. (ช่อง 11 เดิม) เสนอข่าวว่า นายรักเกียรติ อยากจะขอบวช อ้างโน่นอ้างนี่ สำนึกในพระคุณ สร้างภาพต่างๆนานา เพื่อให้สังคมสงสาร เชื่อว่า เป็นคนดีแล้ว สำนึกแล้ว นอกจากนี้ ช่องเดียวกันนี้ยังทำสกู๊ปข่าว เปรียบเทียบระหว่าง อดีต นายก ทักษิณ ชินวัตรที่หนีคดี กับ นายรักเกียรติ ที่หนีเหมือนกันแต่โดนจับได้(แต่ ข่าว สทท. ออกข่าวว่าไม่ได้หนีคดี ยินยอมรับโทษ) ผมไ่ม่เชื่อว่า คนอย่างนายรักเกียรติ จะลอกสันดานเดิมทิ้งได้ ต้องพิสูจน์กันยาวๆ มิใช่แค่ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ ผ่านสื่อ ที่ไร้่สำนึก

สื่อกระแสหลัก นอกจากมุ่งค้นหาความจริง อย่างไม่ฉาบฉวยแล้ว การคัดเลือก ให้ความสำคัญกับ เนื้อหาของข่าวสาร เพื่อนำเสนอในพื้นที่ที่เหมาะสม ต่อเนื่อง เช่น ข่าวนายรักเกียรติ สุขธนะ เสนอข่าวให้รู้ว่า ติดคุกจริงๆน้อยกว่า ที่ศาลตัดสินไว้ ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้อง
นำเสนอ สิ่งอื่นๆ อีก สิ้นเปลืองพื้นที่ และเวลา หรือ กรณีข่าว ทุจริต โกงกินบ้านเมือง ของนักการเมือง หรือข้าราชการ เช่น ในองค์การคลังสินค้า ที่นำข้าวสาร เอย ข้าวโพด เอย ไปเช่า ไ้ว้ในโกดังของเอกชนแล้ว สินค้าเน่าเสียหาย หรือ สินค้าสูญหายไป นับพัน นับหมื่นตัน (ถ้า 1,000 ตันข้าวสารกระสอบละ 50 กก ก็ 2 ล้านกระสอบข้าวสาร หายไปจากโกดังโดยไม่มีคนรู้เห็น จับไม่ได้ บ้า แน่ๆ)

ข่าวสาร เนื้อหาข่าวทำนองนี้ต้องตามติด เจาะข่าว ทำทุกอย่างจนกว่าจะได้คนผิดมาลงโทษ และ และนำเสนอข่าวให้องค์กรเหล่านั้นแก้ไขไม่ให้ปัญหาเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก สมควรนำเสนอข่าว ต้องลงในพื้นที่ที่สำคัญ หรือช่วงเวลาที่สำคัญ บ่อยๆ ถี่ๆ กองบรรณาธิการ สมควรอย่างยิ่ง ที่อาจจะต้องตั้งทีมเฉพาะกิจทำเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำไปเรื่อยๆ ว่า คนโกงกิน ทุจริตต้องได้รับโทษ อย่างสาสม สังคมก็จะไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง ประชาชนก็พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกต่างหาก ในแง่ของคนคิดจะโกงกิน ทุจริต ต่างๆก็ อาจจะไม่ค่อยกล้ากระทำผิด ปทัสถานทางสังคมที่เรายึดถือในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ก็ค่อยๆ กลับคืนมา ทีละน้อยๆ

แต่ปัจจุบันนี้ คนทำข่าว สื่อกระแสหลัก ทำข่าวเหมือนเสียไม่ได้ เสนอข่าวแล้วก็แล้วไป นอกจากนั้นยังเป็นช่วงเวลาสั้นมากๆ การทำข่าวลักษณะนี้ เหมือนเล่าสู่กันฟัง ให้รู้ว่ามีการโกงกิน แต่ไร้จิตสำนึกที่จะช่วยเหลือ ชี้แนะ ป้องกัน แล้วที่เรียกว่า "สื่อเปรียบเสมือนสุนัขเฝ้าบ้าน" ก็จะเลือนหายไป เพราะสุนัขเหล่านี้ ได้แต่เห่าเบาๆ(อย่างเสียไม่ได้) แล้วก็วิ่งไปหลบซ่อน หรือ ไปเล่นอย่างอื่นแทน สังคมไทยจึงอุดมไปด้วยคนโกงกิน บ้านเมือง เพราะสื่อกระแสหลักไม่มีจิตสำนึกตรงนี้

Graig Newmark ผู้ก่อตั้ง graigslist.com เป็นเว็บไซต์ให้ผู้โฆษณาขายของฟรี ได้แสดงทัศนะต่อสื่อไว้ดังนี้ "The really good journalism was buried, not curated into the front pages , and then infrequently if at all repeated. As news customers, if big news is not prominantly displayed,and then repeated, it's a tree falling in the forest."

"สื่อสารมวลชนที่ดีดีนั้น ถูกฝังไปแล้ว(ตายไปหมดแล้ว)(ข่าวสารที่มีประโยชน์ สำคัญ) ก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่หน้าแรกๆ พร้อมกับลงข่าวบ่อยๆ ในฐานะผู้บริโภคข่าว ถ้าข่าวสำคัญๆไม่ได้ลงในหน้าที่มีผู่อ่านมากๆ และลงถี่หน่อย(ตอกย้ำ)มันก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่ล้มลงในปาดงดิบ"(ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ก็ไร้ประโยชน์ที่จะทำสื่อต่อไป)

สื่อสารมวลชน ถ้าติดตามความถูกผิดต่อสิ่งที่กระทบสังคมโดยรวม แล้วนำเสนอให้สังคมได้รับรู้ อย่างต่อเนื่อง พร้อมๆกับตอกย้ำ หลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม เป็นอย่างไร คนทำไม่ดี คนเลวสมควรได้รับการลงโทษอย่างไร คนในสังคมก็จะรู้สึกได้ว่า มีหลักยึดถือ คติพจน์ "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็จะศักดิ์สิทธิ์

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

สังคมไทยกำลังวิกฤติหนัก

หลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม จริยธรรม มีไว้แค่ให้เด็กอ่านเล่น คนตั้งใจทำดี กลับอยู่ไม่ได้ ถูกรังแก ถูกระราน ย้ำยี หรือ ถูกฆาตรกรรม หรือ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วอย่างนี้ ใครจะอยากทำความดี ใครจะอยากทำงานเพื่อส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทน ถ้าผลแห่งการกระทำความดีงาม กลับได้รับตรงกันข้าม

อย่าได้หวังว่า เด็กๆ เยาวชน เมื่อเติบโตไปจะเป็นคนที่ยึดถือ เชื่อมั่นในหลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม ในเมื่อ ทุกวันนี้ แบบอย่าง คนทำความเลว คนชั่ว คนไม่ดี มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง อยู่อย่างผาสุข มีหน้ามีตา เป็นที่เคารพนับถือคนทั่วไป แต่คนดีอยู่ยาก กลายเป็นแกะขาวในฝูงแกะดำ
กรณี กรรมการ ปปช. คุณวิชา มหาคุณ ถูกคนร้ายขว้างระเบิดใส่บ้าน(ข่าว) เมื่อเร็วๆนี้ และอีกนับร้อย นับพัน ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งที่เป็นข่าว และไม่เป็นข่าว และก็ จะยังคงเกิดขึ้นอยู่อีกต่อไปกับคนที่ตั้งใจทำดี เพราะสังคมไม่ปกป้องคนทำความดี คนทึี่ตั้งใจทำความดีงาม ก็จะไม่กล้าทำงานที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ มีเิงิน และอิทธิพล ผลประโยชน์ของสังคมโดยรวมก็จะเสียหาย กลายเป็นธุระไม่ใช่ กลายเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว อันธพาลครองเมือง แล้วประเทศชาติจะอยู่อย่างไร.... มืดมน

ผมขออันเชิญ พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นกำลังใจแด่ผู้คนที่ตั้งมั่นในหลักแห่งคุณธรรม ความดีงาม

"ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นท่านทั้งหลาย ฝึกหัดตนให้เป็นคนกล้า คือกล้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามความถูกต้องเที่ยงตรง ทั้งตามกฎหมายและศีลธรรม โดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพลหรือคติใด ๆ ทั้งหมด ให้เป็นคนที่มั่นคงในสัตย์สุจริต และความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ปล่อยให้ความสุจริตยุติธรรมถูกย่ำยีให้มัวหมองได้ ทั้งนี้เพื่อท่านจักได้สามารถกำจัดสิ่งที่เรียกว่าช่องโหว่ในกฎหมายให้บรรเทาเบาบาง และหมดสิ้นไป และทำให้กฎหมายเป็นไปตามวัตถุประสงค์อันสูงส่งตามที่มุ่งหมายไว้"
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ณ อาคารใหม่สวนอัมพร วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๒๒)

ผมขอเป็นกำลังใจให้กับ คุณวิชา มหาคุณ กรรมการ ปปช. ท่านอื่นๆ และท่านอื่นๆที่่ตั้งใจดี ด้วยความจริงใจครับ