เมื่อวันพฤหัส ที่ผ่านมา ผมได้เขียนเรื่องThailand Internet broadband Road Map ?? แล้วบอกว่าจะเขียนต่อให้เสร็จ แต่ด้วย การเมืองกำลังร้อนแรงเหลือหลาย วันนี้ก็จึงยังต้องเขียนเรื่องการเมืองอีกสักวัน
สื่อกระแสหลัก ผมได้เขียนถึงหลายหนมาก และคิดว่าก็ยังคงต้องเขียนถึงอีกมากมาย เรียกร้องให้รู้ ฝื้นจิตสำนึกถึง หลักคุณธรรมความดีงาม(Virtue of principle) ความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าวสารต่อประชาชน ซึ่งสำคัญยิ่งกว่า จรรยาบรรณสื่อ (Media's code of conduct) มากมายนัก
วัีนนี้ขอเน้นถึง นักวิชาการ ที่สังคมมองเห็นภาพ(แต่ความเป็นจริงอีกเรื่องหนึ่ง) ว่าเป็นมันสมอง เป็นกลุ่มคนที่มีภูมิ มีความรู้ เป็นปัญญาชน และก็น่าจะมีหลักการ มีวิจารณญาณ แยกแยะข่าวสารต่างๆ ได้ดีกว่า คนทั่วไป
นั่นคือภาพ ที่สังคม คนทั่วไปมองไปยังกลุ่มนักวิชาการ แต่ในความเป็นจริง ไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว มีนักวิชาการหลายคนมาก ที่ติดหล่ม กับทัศนคติ กระบวนทัศน์ ข่าวสารขยะ จนแยกแยะไม่ออกว่า หลักการอยู่ตรงไหน คุณธรรมความดีงามที่ต้องดำรงค์ไว้ก่อนข้อเรียกร้องใดๆ จึงหลงไปติดอยู่กับเสื้อสีต่างๆ โดยละเลยถึง หลักการ ความถูกต้อง เหมาะสม ความกล้้าหาญที่จะแสดงออก ใครก็ตามที่กำลังทำ หรือเตรียมการที่จะทำ หรือมีท่าทีว่าจะทำในสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักคุณธรรมความดีงาม อันเป็นเหตุให้บ้านเมืองเสียหาย ประชาชนเสียหายในวงกว้าง ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กและเยาวชน จึงสมควรประณาม จะในนามส่วนตัว หรือเป็นกลุ่ม เป็นสมาคม ก็ยิ่งดี และกระทำแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้กำกับ สื่อสารไปถึง คน หรือกลุ่มคนที่กำลังแสดงพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนเหล่านั้น ว่าสังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ให้เจ้าพนักงานของรัฐเข้าจัดการดูแล หากยังกระทำอยู่อีก ก็จะมีมาตรการกระตุ้นเตือน ที่หนักแน่น มากยิ่งขึ้น ให้สังคมได้ช่วยกันประณามกลุ่มคนเหล่านั้น และในที่สุดก็จะปรับปลี่ยนพฤติกรรม คนเหล่านั้นได้ และกันกลุ่มคนเหล่านั้นให้ออกห่างอำนาจรัฐ อันจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงหากยังให้โอกาสกลุ่มคนเหล่านั้นมีพื้นที่ มีอำนาจ มีอิทธิพล ต่อสัีงคมอยู่อีก อย่างเช่นกรณี เกิดเสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่ทำความเดือดร้อนแก่สาธารณะชนอย่างใหญ่หลวง อยู่ขณะนี้
การแสดงออก ของกลุ่มคน ที่จะช่วยกันกำกับพฤติกรรม คนที่ไม่ดี ที่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควร จึงเป็นหน้าที่ของทุกๆองค์ที่ต้องรับผิดชอบสังคมร่วมกัน ไม่เฉพาะ สื่อกระแสหลัก เท่านั้น หรือ นักวิชาการเท่านั้น เรียกร้องให้ทุกๆ กลุ่ม แต่ที่เน้น สื่อกระแสหลักก็เพราะ เป็นหน้าที่ และเข้าถึงคนได้คราวละมากๆ อยู่แล้ว ส่วนนักวิชาการ ก้เป็นปัญญาชน เป็นผู้นำทางความคิดที่ดีดี จึงมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้มาก
ในทางตรงข้าม หาก สื่อกระแสหลัก และ กลุ่มนักวิชาการ ไม่สามารถแสดงออก หรือไม่กล้าหาญ หรือแสดงออกแต่ไม่ได้ยึดถือถึงหลักคุณธรรมความดีงาม สังคมก็จะยิ่งสบสนวุ่นวาย อย่างที่เป็นอยู่ สังคมกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ใครนึกจะทำอะไรก็ทำ โดยเอาจำนวนคนมากหน่อย ไปจ้างวานแนวร่วมมาข่มขู่ เรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แสดงพฤติกรรมแบบเด็กกระทืบเท้าเอาของ เมื่อไม่ได้ทันทีก็ขว้างปา สิ่งของ ระเบิด ใช้กำลังเข้ายึดสถานที่ และสุดท้ายเราก็ต้องยินยอมทำตาม อย่างนั้นหรือ??????????????? เพี้ยนแล้ววว ไม่ใช่แน่
การที่อธิการบดีสามมหาวิทยาลัย ออกข่าวเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาล และ แกนนำเสื้อแดง หันหน้าคุยกัน(อย่าหันก้นคุยกัน) หาทางออกของประเทศ (ข่าว) จึงเป็นสิ่งที่ผิดช่วงเวลา และไม่ได้ยึดถือหลักคุณธรรมความดีงามที่ต้องดำรงค์ไว้ก่อนข้อเรียกร้องใดๆ การออกมาเรียกร้องของท่านอธิการบดีดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการยอมรับพฤติกรรมเถื่อนของกลุ่มแกนนำเสื้อแดง ให้ท้าย หรือแกนนำเสื้อเหลืองก่อนหน้านี้ก็ตาม
ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านอธิการบดีทั้งสาม สื่อกระแสหลัก และ กลุ่มอื่นๆ ออกมาพร้อมๆกันประณาม พร้อมๆกันทั้งประเทศ ให้กำลังใจ สนับสนุนเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จริงจัง และใช้วิธีการที่ถูกต้อง มีเมตตาธรรมต่อกัน ถามว่า จะสามารถปรับเปลี่ยนท่าทีเถื่อนๆ วิธีการอหิสาปลอมๆ ข้อเรียกร้องที่ไม่ชอบธรรม พฤติกรรมคุกคาม ข่มขู่ ของแกนนำเสื้อแดงได้หรือไม่ ??
ยกตัวอย่าง มี นศ. ท่านหนึ่งโกงข้อสอบ มีหลักฐานชัดเจน ถูกอาจารย์ปรับเกรดตกในวิชานั้น เกิด นศ. คนนั้นไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยที่อาจารย์ทำกับเขาอย่างนั้น จึงเรียกร้อง โวยวาย ประท้วงอาจารย์ท่านนั้นให้ลาออกไปเสีย อ้างว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไปพาพวก นศ.มา จ้างวานมา ให้ขับไล่อาจารย์ท่านนั้นออก และ ขอสอบใหม่ หรือ ไม่ต้องปรับเกรดตก หากไม่ทำตามข้อเรียกร้องนี้จะเผาตึก เผาคณะ เรื่องถึงอธิการบดี แทนที่ ท่านอธิการบดีจะ อบรมสั่งสอนไล่เด็กก้าวร้าว รุนแรงนี้ออก และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการ กลับบอกว่า "อาจารย์ (ที่ปรับเกรด นศ. ตก) คุยกับ นศ. เสียนะ อย่างให้เรื่องวุ่นวายไปมากว่านี้อีกเลย" (อธิการบดีปวดหมอง) (นศ.คนนี้ตอนเด็กๆ ก็ใช้พฤติกรรมกระทืบเท้าเอาของกับพ่อแม่ โตขึ้นมา เป็น นศ. ก็ยังใช้วิธีนี้อยู่ และเมื่อเรียนจบไปหากเป็นนักการเมืองก็จะเป็นแบบแกนนำเสื้อแดง เสื้อเหลือง เพราะเรียนรู้ว่า ทำแล้วได้มาตลอด -จังไรแมน !!)
อาจารย์ นักวิชาการ จะสั่งสอน อบรม นศ. ได้อยู่หรือ ถ้ามีทัศคติ วิธีคิด กระบวนทัศน์เยี่ยงนี้ น่าห่วงอย่างยิ่ง กับพฤติกรรามผู้นำทางสังคมที่มีวิธีคิด ทัศนคติ เยี่ยงนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้นำทางสังคมไทยหลายต่อหลายท่าน แยกแยะไม่ออกว่า อะไร เป็นเหตุ อะไรเป็นผล อะไรคือเรื่องส่วนตัว อะไรคือเรื่องส่วนรวม กระทบกว้างใหญ่ต่อสังคมแค่ไหน ควรมีหลักยึด หลักคิดอย่างไร ที่เป็นปทัสถานให้สังคมอยู่กันได้อย่างผาสุก และยั่งยืน
ขอเสนอ และขอเรียกร้องให้ผู้นำทางสังคม ทุกๆด้านได้ออกมาประณาม พฤติกรรมแกนนำเสื้อแดง ที่กระทำอยู่ ในแง่ของมหาวิทยาลัยที่แกนนำเสื้อแดงสำเร็จการศึกษามา ขอเสนอให้ถอดถอนปริญญาบัตรทั้งหมด เพื่อเป็นการ แสดงจุดยืนของมหาวิทยาลัย และยึดหลักคุณธรรมความดีงาม และเป็นการกำกับ พฤติกรรม แกนนำเสื้อแดง ให้อยู่กับร่องกับรอย
ส่วนเหตุผล ก็เพราะ แกนนำเสื้อแดง เหล่านี้ ทำให้มหาวิทยาลัยเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติภูมิ สถาบัน ซึ่งมีลูกศิษย์ที่ดีมากมาย เพราะสถาบันไม่ได้สั่งสอน ปลูกฝังให้ลูกศิษย์ มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ นี่เป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่คนที่เกี่ยวข้อง สามารถช่วยกัน กำหราบพฤติกรรมอันไม่พึงปรารถนา ของคนลงได้ และต่อไป ทางคณะกรรมการมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะนำกรณีนี้เป็นแบบอย่างได้จะดีมาก ใครทำชั่วร้ายแรง นักการเมือง ข้าราชการ ทั้งหมด ที่โกงกินบ้านเมืองที่ต้องคำพิพากษาแล้ว ถอดถอนปริญญาให้สิ้น ร่วมด้วยช่วยกัน กวาดคนไม่ดีออกห่างพื้นที่สาธารณะ และส่งเสริมคนดี มีคุณธรรม ให้ได้ทำงานเพื่อสังคมที่ดีงามต่อๆไป
การจ้างวานมาร่วมชุมนุมของแกนนำเสื้อแดง
การกระทำทั้งหลายทั้งปวง ของแกนนำทั้งสองสี ที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ผิดกฎหมายแทบทั้งสิ้น และเป็นพฤติกรรมที่ต้องได้รับการประณาม แม้นจนบัดนี้ กลุ่มแกนนำทั้งหลายก็ยังไม่ได้มีสำนึกสักนิดว่า เป็นความผิดของตัวเอง คำนึงถึงแต่ชัยชนะ บนเส้นทางที่ขรุขระยิ่ง ที่จะนำพาประเทศชาติให้รุ่งเรืองได้
นอกจากความมัน สะใจ และ หลอกตัวเองว่า ชนะแล้ว !!!
การที่นานาชาตืเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง ก็ดี 47 ประเทศนานาชาติอย่างน้อยที่ออกมาเตือนพลเมืองชาติตัวเอง ในการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยก็ดี โดยเฉพาะประเทศจีนที่ห้ามสายการบิน ไชน่าแอร์ไลน์บินเข้าไทย ฯลฯ ล้วนเป็นการส่งสัญญาณ เป็นการกำกับพฤติกรรมระดับประเทศ ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะที่เป็นประชาคมโลก ที่ไม่ต้องการเห็นการทำร้าย ทำลายกัน เข็ญฆ่ากัน ซึ่งไม่ใช่หลักคุณธรรมความดีงาม นั่นเอง แต่องค์กรต่างๆ สถาบันต่างๆ ผู้นำทางความคิดต่างๆ นักวิชาการ ต่างๆ กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย กลับไปให้ท้าย แทนที่จะประณาม ตำหนิ คนละเมิดกฎหมาย
หากยังไม่เรียนรู้ หรือเรียนรู้ช้า สังคมไทยก็จะมีแต่ความก้าวร้าวรุนแรง มีกลุ่มอิทธิพล ที่มีเงิน มีอำนาจ โยงใย ไข้วไป มา เท่านั้นที่มีกองกำลังติดอาวุธ เล็กใหญ่ ไว้คอยคุ้มครองทรัพย์สิน และบริวารตัวเอง และบงการ ความเป็นไปของประเทศ แล้วแต่ว่า ผลประโยชน์ที่ตกลงกันได้กับรัฐบาล เพราะรัฐบาลไร้อำนาจ ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ต้องฟัง ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้เวลาจะออกนโยบายใดๆ ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ตั้งหน้าตั้งตา "เกาะ" "สุบ"ความมั่งคั่งของประเทศชาติ และประชาชน เหมือนเช่นประเทศฟิลิปปินส์ ขณะนี้ ที่มีกองกำลังติดอาวุธเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด เราอยากเห็น อยากเป็นเช่นนั้นหรือ????
จึงเป็นไปได้ยากตามแนวคิดของ พลตรี มนูญ รูปขจร (ข่าว-อ่านความเห็นคุณศิวัช)
ขอเน้นย้ำอีกหนว่าแนวคิด ระบบการคัดกรองนักการเมือง เป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ ปัญหา่ต่างๆที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้จะค่อยๆหมดไป หรือลดไปมากกว่า 90%
ทุกวันนี้ประเทศที่เจริญมาได้ เมื่อคนและระบบ"หลุด" สื่อกระแสหลักที่ดีประสานกัน และผู้นำทางความคิดต่างๆ องค์กรต่างๆที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อประชาชน เป็นด่านต่อมา เพื่อกำกับ ตรวจตรา พฤติกรรมกลุ่มคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย สร้างความเสียหายให้บ้่านเมือง ละเมิดกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องถูกประณาม ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิฉะนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้อยู่ เพราะ สีงคมที่รักสงบไม่ต้องการ แต่กรณีประเทศไทย "หลุด" หมด จึงเป็นอย่างที่เห็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น