รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม โดย รมต. คลัง นาย ธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 30% เป็น 23%ในปี 2555 และเหลือ 20% ในปี 2556 เป็นผลให้เงินภาษีหดหายไป อย่างน้อย 1.3 แสนล้านบาทต่อปี
ใน 106 ประเทศทั่วโลก อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉลี่ยอยู่ที่ 25.9% ในประเทศแถบเอเชียแซิฟิคเฉลี่ยอยู่ที่ 28.4% ทั่วโลกจัดเก็บภาษีทางอ้อม หรือ เฉลี่ยภาษีมูลค่าเพิ่ม 15.7% เปรียบเทียบไทย เก็บ 7% (ข่าว) สำหรับประเทศญี่ปุ่นมีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 40%(ทำไมถึงยังแข่งขันได้ทั่วโลก แถมค่าเงินเยนแข็งค่ามากมายเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆทั่วโลก...ทำไม??)
เมื่อปี 2003 รัฐบาล ประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา จอร์จ บุช พรรครีพับลิกัน(Republican) ได้ประกาศลดภาษีนิติบุคคล พูดให้เข้าใจง่ายก็คือลดภาษีให้คนร่ำรวย ถูกนักเศรษฐศาสตร์ สวดยับ และเป็นต้นเหตุหนึ่งที่้ำซ้ำเติมการขาดดุลงบประมาณที่ขาดดุลอยู่แล้วจำนวนมาก เป็นเหตุต่อเนื่องทำให้จำเป็นต้องตัดลดการอุดหนุน ระบบประกันสังคม (Social Insurance--Medicare & Medicaid)ของรัฐลง กระทบต่อคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปี และคนด้อยโอกาสอื่น นับสิบล้านคน
ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเรื่องภาษีของรัฐบาลประธานาธิบดี จอร์จ บุช ที่ปรับลดภาษีนิติบุคคล ที่เหมือนกับรัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม คือ...
1. เมื่อมีประชาชน แบมือรอรับความช่วยเหลือจากผู้บริหารนโยบายสาธารณะทั่วประเทศ แต่นักการเมืองกลับกวาดเงินภาษีประชาชนใส่มือคนร่ำรวย แทนที่จะใส่มือคนจน หรือคนที่เดือดร้อน ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ผ่าน นโยบายสาธารณะที่เป็นธรรม โดยอ้างว่า จะเก็บภาษีได้คืนในอนาคต เป็นสูตรสำเร็จของนักการเมืองทุนนิยมกักขฬะ อย่างพรรค รีพับลิกัน(Republican) กล่าวอ้าง
รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
1. ลดภาษีให้คนร่ำรวย ตามแบบฉบับของทุนนิยมกักขฬะ อย่างพรรคเพื่อไทย โดยมีคุณ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวพ่อ
2. ช่วงระหว่างสงคราม มีแต่ต้องเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อใช้จ่ายยามสงคราม รัฐบาลสหรัฐอเมริกา กลับเดินสวนทาง และได้ใช้จ่ายเงินภาษีประชาชนทำสงครามจำนวนมากมายมหาศาลถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ โดย ปี 2001 สหรัฐอเมริกา เข้าไปทำสงครามในอัฟกานิสถาน โดยอ้างเรื่องการก่อการร้าย และ ในปี 2003 ร่วมกันประเทศอังกฤษ เข้า"รุกราน"ประเทศอิรัค ที่ใช้คำว่า"รุกราน"ก็เพราะ ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติให้เข้าทำสงครามกับอิรัค ดังนั้นจึงผิดกฏหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เหมือนเป็นอันธพาลของโลก โดยอ้างว่า อิรัค มีอาวุธ ทำลายร้ายแรง(Weapon of Mass Destruction -WMD) เช่น นิวเคลียร์ อาวุธเชื้อโรค และใส่ร้าย ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัค แอบอุดหนุนการก่อการร้ายเครือข่าย อุซามะห์ บินลาดิน ผลคือไม่มีอาวุธร้ายแรงอะไรเลย
รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
2. ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตอย่างหนักเรื่องภัยน้ำท่วม ทำความเสียหายมากถึง 1.4 ล้านล้านบาท ต้องกู้เงินมาทั้งบูรณะและเยียวยาผู้ประสบภัย และปีที่แล้วก็เสียหายจากภาวะการเมือง หลายแสนล้านบาท
3. สหรัฐอเมริกากำลังมีปัญหาขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก แต่ก็กู้เงินมาเพื่อใช้จ่าย กลับไปลดเงินภาษีให้คนร่ำรวย โดยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้
รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
3. ประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องเงินงบประมาณต้องจัดงบประมาณขาดดุล ต้องกู้เงินมาใช้จ่ายหลายแสนล้านบาท เช่นกัน และกลับไปลดภาษีให้คนร่ำรวย
แผนภาพด้านบนนี้ แสดงถึง การจัดเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกาประมาณ 31% เมื่อเทียบกับประเทศอื่น สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 16% ซึ่งต่ำมากๆ
แผนภาพด้านบนนี้เป็นอัตราการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลจากบริษัทต่างๆในสหรัฐอเมริกา จาก 6%กว่าต่อจีดีพีเหลือเพียง 1% กว่าต่อจีดีพี ลดลงตลอดมาตั้งแต่ปี 1949-2009
ครอบครัวคนร่ำรวยในสหรัฐอเมริกาที่มีรายได้มากว่า 1 ล้านดอลลาร์ ก็มีอัตราการเสียภาษีเงินได้น้อยลงตลอดมาตั้งแต่ปี1993
4. หากดูความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา จัดเก็บภาษีได้ประมาณ 31% ของ จีดีพี(GDP) ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น
รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม
4. รัฐบาลไทยมีความสามารถจัดเก็บภาษีได้เพียง 16% ของจีดีพี เท่านั้น ซึ่งยิ่งน้อยมากๆ
มีแต่นักการเมืองสายพันธุ์ "ปากกว้าง สมองเล็ก" หรือนักเสี่ยงโชคทางการเมือง เท่านั้นที่กล่าวอ้างเรื่องภาษีไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่กำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำกว่าไทย แล้วจะ"ลดราคา"ไปสู้กับเขา
หากบริหารงานอย่างรัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม ต่อให้กำหนด อัตราภาษีนิติบุคคลเป็นศูนย์ ก็ไม่มีนักลงทุนที่ดีมีคุณภาพมาลงทุนด้วย หากเขาเข้ามาลงทุนแล้วทำความเสียหายยับนับ ล้านล้านบาท อย่างภัยน้ำท่วมที่ยากยิ่งที่จะเกิดได้แต่รัฐบาลปู(ปัญญา)นิ่ม ก็เก่งมากทำจนมันเกิดได้ มากขนาดนี้ และหากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ เพราะอัตราภาษีนิติบุคคลของไทยไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่นมากนัก และมีปัจจัยอื่นๆอีกมากที่สามารถใช้ดึงดูดการลงทุนที่ดีได้ ไม่ใช่ภาษี อุปมาเหมือนกับ เราผลิตสินค้าหรือบริการที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน ต่อให้ขายของถูกเท่าใดก็ไม่มีใครซื้อ หากจะมีบ้างก็พวกฉาบฉวย ดังนั้นตรรกะเดียวกันนี้ เราต้องมุ่งไปที่ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ เช่น ความสามารถของกำลังแรงงานที่ดีมีคุณภาพ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การโกงกิน ของนักการเมือง และข้าราชการ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น