Powered By Blogger

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Embrace life (video ad campaign in England)

It's from my brother emailed me, more than 10 million page views, very felt for, let take a look..

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

iphone 4 : We're not perfect. Phones are not perfect"

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ iphone 4 เรื่องเสารับสัญญาณในตัวเครื่อง มีปัญหาเมื่อผู้ใช้ไปจับตรงด้านล่างซ้ายของตัวเครื่องทำให้ไปปิดกั้นคลื่นสัญญาณ สื่อสารมีปัญหา จึงถูกตัวแทนผู้บริโภคในสหรัฐอเมริการฟ้องร้องและไม่สนับสนุนให้ซื้อใช้ ทั้งๆที่เปิดขาย 3 วันแรก ขายไปได้ถึง 1.7 ล้านเครื่อง และตั้งแต่ iphone รุ่นแรกออกจำหน่ายเมื่อปี 2007 Apple ได้ขาย iphone ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านเครื่องทั่วโลก กินส่วนแบ่งการตลาดโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เกือบ 30%



วันนี้ ทางบริษัท Apple เปิดแถลงข่าว และได้นำเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ และมิวสิควีดีโอ เพลง iphone 4  พร้อมกับบอกว่า หากไม่พอใจในสินค้าให้นำมาคืนได้ภายใน 30วัน และไม่แน่ใจก็อย่าซื้อ iphone 4  

นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศในการแก้เกมการตลาดของบริษัท Apple ที่สื่อ และนักลงทุนในหุ้นของ apple เริ่มส่งเสียงกังวล ในตัวสินค้า iphone 4





ถึงแม้น แทบทุกผลิตภัณฑ์ของApple จะเป็นระบบปิด กล่าวคือ ผู้ให้บริการอื่นๆ จะเข้าไปร่วมใช้ประโยชน์ ทำไม่ได้ เช่น ไปดาวน์โหลดเพลง หรือ สื่อมัลติมีเดียใช้ได้เฉพาะใน itune เท่านั้น ใครจะพัฒนาโปรแกรม (application) เชื่อมต่อเพื่อขายหรือ แนะนำสินค้าหรือบริการใน iphone ต้องได้รับอนุมัติจากทางบริษัท Apple เป็นต้น

ซึ่งหากสินค้าหรือบริการไม่มีจุดแข็งมากพอ ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ เพราะโลกดิจิตอลเป็นโลกแห่งการรังสรรค์ ร่วมมือและแบ่งปันโดยแท้

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเลือกตั้งซ่อม แทนนายทิวา เงินยวง: ตัวอย่างการเมืองที่ไร้มาตรฐาน

ระบบการเมืองในโลกนี้ เป็นระบบเดียวที่ไม่เคยมีมาตรฐาน แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนอย่างยิ่ง พลเมืองในชาติจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการศึกษา มีการงานที่ดีมีรายได้ที่ดี มีสุขภาวะที่ดี ล้วนเป็นผลจากการเมืองทั้งสิ้น เพราะคน หรือนักการเมืองเป็นผู้กำหนด ใช้นโยบายในการบริหารประเทศ และใช้เม็ดเงินภาษีประชาชน ในชื่อ งบประมาณไปสร้างสรรค์ประเทศ แต่ คน หรือนักการเมืองไร้มาตรฐาน หามาตรฐานตรวจวัดไม่ได้ เป็นเรื่องประหลาดมาก ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วควรจะมีมาตรฐานและต้องมีมานานแล้ว





อะไรที่เป็นมาตรฐานทางการเมือง??

ในแวดวงธุรกิจการค้า บริษัทห้างร้านเอกชนต่างๆ ล้วนต้องการพนักงานที่มีคุณสมบัติที่ีดีเด่น มีคุณธรรม (Virtue) มีวิสัยทัศน์ (Vision) มีกระบวนทัศน์ (Mindset) ทัศนคติ (Attitude) เชิงบวก ภูมิหลัง (Background) ที่งดงาม ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ที่นอกเหนือไปจากความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง ที่เป็นตัวกำหนด เป็นมาตรฐานของคนที่มีคุณภาพ และเป็นคนดี ควบคู่กันไป เป็นที่ไว้วางใจให้ทำงานสำคัญๆได้
เราเรียกวิธีการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานในองค์กรธุรกิจว่า การคัดสรรคนเข้าทำงาน (Recruitment) ซึ่งก็มีมาเนิ่นนานนับร้อยๆปี แต่แปลกประหลาดที่สุด กลับไม่นำมาใช้ในระบบการเมือง เพื่อเป็นเครื่องมือ เป็นระบบการคัดกรองนักการเมือง แต่กลับปลอยให้เป็นอิสระเสรีของใครก็ได้สามารถเข้าสู่แวดวงการเมืองได้โดยง่ายๆ ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ซึ่งไม่มีเครื่องมือคัดกรองเหล่านี้เลย การเมืองในโลกนี้จึง ไม่เคยมีมาตรฐาน ไร้ความน่าเชื่อถือ เต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะเอาเปรียบคนอื่น ไปเล่นไล่จับ "โปสิศจับขโมย" แต่เรากลับให้คนเหล่านี้มีโอกาส และเข้าไปมีอำนาจบริหารเงินภาษีของเราปีละ 2 ล้านล้านบาท !! นี่เป็นความผิดพลาด ความคิดที่ผิดอย่างยิ่ง และต้องแก้ไขโดยด่วน

กลับมาดูกรณีการเลือกตั้งซ่อม แทน ส.ส. ทิวา เงินยวง พรรค ปชป. เขตบึงกุ่ม และ ส่งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ แทน กกต.จะจัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมวันที่ 25 กรกฎาคม 2553 (ข่าว) (ข่าว) เหตุที่บอกว่า การเลือกตั้งหนนี้เป็นตัวอย่างการเมืองที่ไม่มีมาตรฐาน ก็เพราะพรรคเพื่อไทย (พ.ท.) ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ชื่อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช แกนนำเสื้อแดง ที่มีข้อกล่าวหาอุฉกรรจ์ ทั้งผู้ก่อการร้าย (ข่าว) ให้ถ้อยคำยุยงปลุกปั่น ฯลฯ คนในพรรคเพื่อไทยมีมากมายที่ไม่ต้องคดี กลับไม่ใยดี ส่งคนมีปัญหา บ่งบอกถึงพรรคการเมืองไทยไม่ได้ใส่ใจในผลประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง เหมือนกันหมดทุกพรรค

หาก นายก่อแก้ว พิกุลทอง ถูกศาลตัดสินมีความผิดจริงบางข้อกล่าวหาที่ถูก ดีเอสไอกล่าวหา ใครเสียประโยชน์ มิใช่ประชาชนโดยรวมหรือ?? การเมืองไทยจึงมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไร้ปัญญาอย่างยิ่ง เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมา

นี่คือการเมืองที่ไม่มีมาตรฐาน ไร้อุดมการณ์ทางการเมือง การเมืองเพื่อพวกพ้อง กลุ่มก้อนตัวเองเท่านั้น
 

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

CSR 3 ระดับ

ความรับผิดชอบต่อสังคมของบรรษัทเอกชน หรือ CSR (Corporate Social Responsibility)

ความรับผิดชอบต่อสังคม ของบรรษัทเอกชน (CSR) มี 3 ระดับ



1. CSR- after process บรรษัทเอกชนไม่ได้ใส่ใจเรื่อง คน สินค้า และสิ่งแวดล้อมสักเท่าได ครั้นเมื่อเกิดปัญหาค่อยใช้เงิน ความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือ อิทธิพล เข้าแก้ไขภายหลัง นับว่าเป็นบรรษัทชั้นเลว เอาเปรียบทุกขั้นตอน ทุกคน เพื่อตัวเองเท่านั้น

2. CSR- in process เป็นบรรษัทที่ดูแลทุกๆสิ่งที่เกี่ยวข้อง ในทุกขั้นตอนการจัดซื้อ การผลิต (Responsible in every touch points) เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพึงพอใจ เช่น ไห้สวัสดิการที่ดีมากแก่พนักงาน เลือกซื้อวัตถุดิบที่ดี ควบคุมดูแลสินค้าที่ผลิตให้ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และ มีมาตรฐานสูง ไม่มีพิษภัย ลดการทำร้าย ทำลายสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด เรียกว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งตัวสินค้า และรูปแบบขบวนการผลิต (Green products & processes) ให้มากที่สุด หรือไม่มีเลย ขณะเดียวกันก็ ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นด้วย ขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างได้ว่าเป็น Triple Bottom Lines- 3BL กล่าวคือ บรรษัทต้องหาจุดลงตัว เหมาะสม พอดี ระหว่างทั้งคน สิ่งแวดล้อม และ ตัวกำไรของผู้ถือหุ้น อันนี้เป็นแนวทางของบรรษัทสมัยใหม่ที่ต้องมีวิสัยทัศน์ นับแต่บัดนี้เป็นตันไป

3. CSR- as a process เป็นบรรษัทที่ไม่ได้มุ่งแสวงหากำไร ทำเพื่อสังคม เป็นหลัก

ส่วนการบริจาคเงิน สิ่งของต่างๆ เป็นแสน เป็นล้าน เพื่อการกุศล สาธารณะ ของบรรษัทเอกชนนั้น ว่ากันที่จริงแล้วก็พอยอมรับได้หาก สามารถเป็นผลประโยชน์ในระยะยาวต่อบรรษัทเอง ไม่ใช่เพื่อหน้าตาของผู้บริหารเท่านั้น เพราะ ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลััก ตามกฎหมายมหาชน เรียกได้ว่า ยึดหลักการผลประโยชน์ที่ดีที่สุด (The best benefits principle) ของผู้ถือหุ้น


วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

FUNNY VDO

Cute pets



Chalerm Rap Talk



Advertising



Smart dog can calculate number

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สร้างวัฒนธรรม "ประณาม" สามารถหยุดยั้งความเสียหายรุนแรงทางสังคมได้

คงไม่ต้องขยายความว่า การประณามหมายถึงอะไร ที่จริงการประณาม เป็นสิ่งติดตัวมากับสัตว์สังคมอย่างมนุษย์ ที่มีความนึกคิด มีการยึดถือในหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) มีจิตใจที่รักสงบ รักความเป็นธรรม เห็นอกเห็นใจ เป็นความรัก เป็นทุกข์ร้อนในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคมอยู่กันได้อย่างผาสุก เกื้อกูลกัน เรียบร้อยดี ส่วนความเกลียดชังกันนั้นมาทีหลังเป็นการแต่งแต้มกันภายหลัง



การประณามจึงเป็นวัฒนธรรมทางสังคมที่ผู้อาศัยอยู่ในสังคมส่งสัญญาณ(ทางลบ) กำกับพฤติกรรม ท่าที ของคนในสังคมด้วยกัน ที่กำลังแสดงพฤติกรรม หรือท่าที ต่างๆที่ผิดธรรมนองคลองธรรมอันจะสร้างความเดือดร้อน ความวิบัติมาสู่สังคมโดยรวมได้ให้รับทราบ ให้แก้ไข ปรับเปลี่ยนท่าที พฤติกรรมอันไม่พึ่งปรารถนานั้นเสีย เพราะสังคมที่รักสงบ รักความเป็นธรรมไม่ต้องการ ก่อนให้กฎหมายบ้านเมืองเข้าดูแล จัดการ

ใครควรถูกประณาม ใครเป็นผู้ประณาม และประณามเมื่อใด อย่างไรดี??

ในสังคมอย่างประเทศไทยนั้น ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แม้แต่ในคนๆเดียวกันก็ยังมีทั้งส่วนที่ดี(Superego) เป็นพลังใฝ่ดี สร้างสรรค์ และไม่ดี (id) เป็นพลังใฝ่ต่ำ ดิบๆ ทำลาย ไม่สร้างสรรค์ ใครก็ตามที่เป็นบุคคลสาธารณะ หรือ ผู้มีอานาจหน้าที่ให้คุณให้โทษต่อบุคคลอื่นได้ในวงกว้าง หรือผู้ที่จะเป็นแบบอย่างให้คนในสังคมทำตาม เอาเยี่ยงอย่าง ทั้งอุปโลกน์ตัวเอง และสังคมยกให้เป็น เช่น นักการเมือง ข้าราชการ บุคคลในองค์กรอิสระต่างๆ ผู้นำจิตวิญญาณ นักวิชาการ ครู อาจารย์ นักสื่อสารมวลชน เป็นต้น บุคคลดั่งตัวอย่าเหล่านี้ หากมีพฤติกรรม ท่าที ที่ส่อ หรือผิดธรรมนองคลองธรรม ย่อมสร้างผลกระทบ ต่อสังคมโดยรวมได้ หากปล่อยให้ยังคงมีพฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์ ด้านผู้ประณามนั้นเป็นใครก็ได้ ยิ่งเป็นผู้น่าเชื่อถือของสังคมและสื่อสารผ่านสื่อที่มีพลัง เข้าถึงผู้คนหมู่มากได้ ยิ่งได้ผล ทั้งนี้ผู้ประณามต้องตั้งมั่นอยู่ในหลักของคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่สังคมที่รักสงบต้องการ

การประณามเป็นกระบวนการทางภาคประชาสัีงคมผ่านสื่อสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น สื่อกระแสหลัก (Mainstream media) ทั้งสื่อดั้งเดิม (Traditional media) และสื่อใหม่ (New media) เช่นเครือข่ายทางสังคมออนไลน์รูปแบบต่างๆ เช่นการเกิดปรากฎการณ์การรวมกลุ่มกันของชาว Facebook เป็นต้น 



วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นายก อภิสิทธิ์ อย่าซื้อเสียงทางอ้อม

ในระบบทุนนิยมเสรี เอกชนทุกระดับเกิดได้ ดำรงค์อยู่ได้เพราะความเป็นรัฐประเทศ(Nation state) ไม่ได้เกิดได้เอง (Natural entity) ทุกๆกิจกรรมที่เอกชนทำ ก็ล้วนทำเพื่อตัวเองเป็นหลัก หากำไรให้แก่ตัวเอง แถมยังอาศัยรัฐช่วยขยายบทบาท การค้า การลงทุนติดต่อปฏิสัมพันธ์ไปยังรัฐประเทศอื่นๆอีกด้วย เช่นทำการค้า ลงทุนต่างประเทศ บริษัท ห้างร้าน เอกชนต่างๆ จึงมีหน้าที่ต้องเีสียภาษีให้ตรง ถูกต้องครบถ้วน หากปราศจากรัฐประเทศเสียแล้ว บริษัท ห้างร้าน เอกชนต่างๆ ก็ไม่เหลือ ไม่มีสภาพให้เห็นเลยจริงๆ ก็ต้องล้มหายตายจากไปกับรัฐ นั่นเอง ไม่ว่า บริษัท ห้างร้านนั้นจะมีทรัพย์สินเป็นหมื่น เป็นแสนล้านก็ตาม ดังนั้น นอกจากหน้าที่ที่ต้องเสียภาษีแล้ว ยังมีหน้าที่ส่งเสริมความเป็นรัฐประเทศ (Nation state) ให้มั่นคง แข็งแกร่ง ไม่ใช่ ให้เงินทุนสนับสนุน ใครบางคน กลุ่มนักการเมืองใดๆ ล้มล้างความเป็นรัฐประเทศ (Nation state)

  สภาพอาคารที่ถูกเพลิงไหม้

ส่วนความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่ บริษัท ห้างร้านต่างๆ ต้องแบกรับเอง คือ การขาดทุน หรือ เจ๊ง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ผู้บริหารบริษัท ห้างร้านต่างๆ ต้องรู้จักประกันความเสี่ยงด้านต่างๆไว้เอง เพื่อชดเชยความสูญเสียอันไม่อาจควบคุมได้

การช่วยเหลือที่รัฐบาลพอจะทำได้ ได้แก่ 

1. ผู้กระทบรายย่อย ลูกจ้าง หาสถานที่ค้าขายให้ ค้าขายฟรีๆบนพื้นที่สาธารณะ เช่น ปิดถนนบางสาย บางวันให้ผู้ได้รับผลกระทบไปค้าขายฟรีๆ
2.หากจำเป็นต้องชดเชยเป็นเงินให้แก่ผู้ค้ารายย่อย และลูกจ้าง ให้พิจารณาจากการเคยเสียภาษีย้อนหลังของผู้นั้นเป็นรายๆไป หาำกไม่เคยเสียภาษีให้รัฐเลย ไม่สมควรชดเชยให้เด็ดขาด

รัฐบาล นายก อภิสิทธิ์จึงไม่มีหน้าที่จะเอาภาษีของคนทั้งประเทศไปให้ใคร กลุ่มใดๆ โดยพละการ
อย่าใช้อำนาจผิดๆ คราวก่อนก็หนหนึ่งแจกเงินเป็น "เช็คช่วยชาติ" 2,000 บาท แก่คน 9 ล้านคน หมดเงินไปกว่า 18,000 ล้านบาท อ้างว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ ชาวนา ชาวไร่ ที่ยากจน มากกว่า คนมีงานทำที่ได้รับแจกเสียอีก ไม่ได้รับแจกด้วย ความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน ?? หรือว่าอยู่ตรงที่ "ผู้มีอำนาจ"

มาคราวนี้ ข่าวห้างเซ็นทรัลเสียหาย1,000 ล้าน ท่านนายก อภิสิทธิ์ จะชดเชยความเสียหายอันเกิดจาก การจลาจล เพลิงไหม้ให้แก่ผู้เสียหายอีก และได้มีการแจกเงินไปบ้างแล้ว รายละ 50,000 บาทในเบื้องต้น ข่าว บีทีเอส ขอชดเชย 100 ล้านบาท

การที่ นายก อภิสิทธิ์ตัดสินใจบังคับใช้กฎหมายให้เด็ดขาด และจริงจังนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และต้องใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นธรรม ใช้ภาษีของประชาชนอย่างเป็นธรรม อย่าได้ใช้อำนาจผิดๆ (power abuse) อีก

หากท่าน นายก อภิสิทธิ์ นำภาษีประชาชนทั้งประเทศ ไปแจก บริษัท ห้างร้านอีก เท่ากับ...

1. ปล้นเงินภาษีประชาชนไปให้คนรวย เป็นพฤติกรรมตีเมืองขึ้นไว้เป็นฐานทางการเมือง โดยเฉพาะ บริษัท ห้างร้านที่ร่ำรวยอยู่แล้ว เช่น บีทีเอส เซ็นทรัล โรงแรมระแวกราชประสงค์ ซึ่งสมควรทำประกันความเสี่ยงต่างๆไ้ว้ แต่กลับ "งก" ละเลยไม่ทำไว้

2. มีพฤติกรรม "ซื้อเสียง" โดยการนำภาษีประชาชนไปแจกผู้ค้ารายย่อย ลูกจ้าง ที่ได้รับผลกระทบ

พฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็น นักการเมืองไขมันส่วนเกิน ไม่ใช่กล้ามเนื้อ

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นายก อภิสิทธิ์ :ความชาญฉลาดทางการเมืองยิ่งที่ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตอนนี้

เมื่อเกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน เรื่อยมาจนถึง 19 พฤษภาคม 2553 มีคนตายร่วมร้อยบาดเจ็บนับพัน อาจปฎิเสธได้ยากยิ่งที่บอกว่า การปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่นั้นถูกต้องครบถ้วนไม่ผิดพลาดเลย การทำงานล้วนมีข้อบกพร่องผิดพลาดได้ แต่ต้องไม่เกิดจากความตั้งใจ ความจงใจให้เกิด หรือพูดง่ายๆว่า "ตั้งใจฆ่า"  อันนี้สำคัญกว่า "ตัวเลข"ผู้ตายและบาดเจ็บ โดยเฉพาะ การมีกองกำลัีงการก่อการร้ายที่มีอาวุธสงครามอยู่เป็นจำนวนมากปะปนอยู่กลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งผิดกฎหมาย และสังคมที่รักสงบไม่ต้องการ และกลุ่มคนเหล่านี้ได้ "รับคำสั่ง" สร้างสถานการณ์ ทำให้เรื่องบานปลาย จนทำให้รัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่ได้
อันเป็นความยากลำบากยิ่งต่อการปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่

ดูวิดีโอเสียงนายสมัคร สุนทรเวช จริงๆ คลายเครียด ฮาๆ
 

โดยการอ้าง โพนทนาว่า รัฐบาล "สั่งฆ่า" ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ถ้าทำได้ก็เป็นไปตามแผนของพรรคเพื่อทักษิณ(เพื่อไทย)

เมื่อการชุมนุมประท้วงได้ยุติลง หนทางหนึ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่งทางการเมืองในระบอบ ก็คือเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจซะ ให้ได้ตรวจสอบโดยสภา เป็นการลดอุณหภูมิทางการเมืองได้ส่วนหนึ่ง เพราะฝ่ายค้านโดยพรรคเพื่อทักษิณ(เพื่อไทย)  จะได้ฟ้องประชาชนได้อย่างชอบธรรม และรัฐบาลก็ทำได้เช่นเดียวกัน
และจากการชี้แจงของฝ่ายรัฐบาลในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ด้วยภาพ ข่าว วีดิโอคลิปต่างๆ ถือได้ว่าชัดเจนมากระดับหนึ่งที่ไม่ได้มีการ "ตั้งใจฆ่า" ประชาชน ดังคำกล่าวอ้างของพรรคเพื่อทักษิณ (เพื่อไทย) เว้นแต่กรณี 6 ศพในวัดปทุมฯ ซึ่งยังต้องรอความชัดเจนอีกระยะหนึ่ง

ผลจากการลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจนายก อภิสิทธิ์ เช้าวันนี้ 186:246 เสียง

จากผลคะแนนเสียงนี้ นายก อภิสิทธิ์ สามารถนำไปอ้างอิงได้ตลอดเวลานับจากนี้ไป จนกว่าผลการตรวจสอบของคณะกรรมการกลางจะได้ตรวจสอบเหตุการณ์เหล่านี้ เสร็จสิ้น และเปิดผลสอบออกมาเป็นอย่งอื่น

ส่วนพรรคเพื่อทักษิณ(เพื่อไทย) จากข่าว คงไปสร้างความเข้าใจผิดๆให้กลุ่มตัวเองเช่นเดิม และทำนายได้ว่า "คลื่นใต้น้ำ" กำลังก่อตัวเป็นลูกคลื่นใหญ่ยักษ์ ต่อไป ขอให้สังคมไทยที่รักสงบ "จับตา" และรุมประณาม เพื่อ กำกับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ท่าที ที่สัีงคมที่รักสงบไม่ต้องการ

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The US Most Disaster Oil Spill Will Kill Our Life


ตัวเลขที่บริษัท BP แจ้งว่าปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลลงทะเลประมาณวันละ 5,000 บาเรลต่อวัน หรือ 210,000 แกลลอน หรือ 795,000 ลิตรต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2010 ที่เกิดเหตุ 


ถ้าเป็นการคาดคะเนของทางการสหรัฐ ตัวเลขน้ำมันดิบรั่วไหลประมาณ 12,000-25,000 บาเรลต่อวัน หรือ 504,000 แกลลอนหรือ 1.9 ล้านลิตร ถึง 1.05 ล้านแกลลอน หรือ 3.97 ล้านลิตรต่อวัน 


ส่วนค่าปรับตามกฎหมายที่บริษัท BP จะถูกทางการสหรัฐปรับตั้งแต่ 1,100-4,300 ดอลลาร์ต่อบาเรลต่อวัน คำนวณไป ว่าน้ำมันดิบรั่วไหลกี่บาเรล ? กี่วัน?


คำนวณจากตัวเลขของ BP ที่ 5,000 บาเรลต่อวัน บริษัท BP จะถูกปรับเป็นเงิน 5.5-21.5 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ขณะที่ตัวกำไรสุทธิที่บริษัท BP ทำได้ เมื่อ ไตรมาส1 ปี 2010 อยู่ที่ 6.7 ล้านดอลลาร์ต่อวัน



ส่วนมูลต่าตลาดของบริษัท BP เมื่อวันที่ 20 เมษายน-25 พฤษภาคม 2010 ได้ลดลงไปแล้วประมาณ 95 พ้นล้านดอลลาร์ บ่อน้ำมันบ่อนี้มีหุ้นส่วน 6 บริษัท (ข่าว)





ความหายนะครั้งนี้ใหญ่หลวงอย่างยิ่ง เป็นปัญหาต่อระบบนิเวศน์วิทยาทางทะเลของโลก ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ร้อยปีจึงจะกลับสู่สภาพเดิมได้ คิดว่าอย่างไรก็คงไม่เหมือนเดิมแน่นอน เป็นเรื่องน่าเศร้า อย่างยิ่ง นี่คือฝีมือมนุษย์โดยแท้ 

ต่อไปใครจะขุดเจาะน้ำมันลักษณะนี้ ต้องแสดงหลักฐานจนน่าเชื่อได้ว่า เทคโนโลยีที่จะใช้ในการปฎิบัติการนั้น หากเกิดผิดพลาดต้องสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที มิใช่จนป่านนี้ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย กว่าจะแก้ไขได้ น้ำมันดิบคงเต็มท้องทะเลเป็นล้านๆบาเรล









วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผลักผู้เห็นต่างไปเป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นวัฒนธรรมการเมืองไทยที่ไม่ดี

ภาพและคลิปบางส่วนที่เราอาจจะยังไม่เคยเห็น แต่มีตากล้องมือสมัครเล่นไปเก็บมาตามม๊อบเสื้อแดงต่างๆ  ดูได้ที่ลิงค์นี้ ....
http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O9269457/O9269457.html

ไม่ทราบฝ่ายไหน?

การเผาอาคาร ร้านค้าต่างๆของผู้ก่อการร้ายนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ของแกนนำเสื้อแดง เหล่าสาวก ผู้มาประท้วงอย่างน้อยสองประการ 


1.  ดูให้วุ่นวาย โกลาหล จลาจลไปทั่วประเทศ (ถ้าทำได้) ตามคำสั่งแกนนำเสื้อแดง
2.  สาวกเสื้อแดง หรือแนวร่วม ได้ปล้นสดมภ์ ผสมโรง หรือ จงใจเอาของมีค่าต่างๆภายในร้านค้าต่างๆ ที่ถูกเผา หรือทุบทำลาย อันนี้มากจริงๆ เพราะ เมื่อตอนปล่อยให้แนวร่วมกลับบ้านได้ จากการตรวจค้นพบ สิ่งของ เสื้อผ้า เครื่องอุปโภค บริโภคมากมายจริงๆ จากผู้ประท้วง ทั้งภายในตัว ภายในรถ ที่ขโมยมา หรือหยิบฉวยมา หรือบางคนก็ปล้นมา เช่นภายในรถยนต์คันหนึ่ง เจ้าหน้าที่พบเครื่องเพชรมากมาย จอดอยู่ในวัดประทุมฯ (ข่าว)

ปัญหาสังคมไทยอีกอย่างที่พ่วงติดมากับนักการเมือง ที่ต้องแก้ไข และเรียนรู้สิ่งที่ถูกที่ควรได้แก่ ... การที่เราไม่ค่อยจะยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากตน เช่น สมัย พธม.ประท้วง คุณแอ๊ด คาราบาวแสดงตัว สนับสนุน อ.แก้วสรร อติโพธิ เมื่อครั้งสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทมที่ผ่านมา ก็ถูกแกนนำเสื้อเหลืองต่อต้าน โดยเฉพาะคุณสนธิ ไม่ให้แนวร่วมลงคะแนนให้ อ. แก้วสรร

ทัีศนคติที่ยังคับแคบ ปัญญาที่ไม่แตกฉานในเชิงประชาธิปไตย ยังข่มขู่ คุกคามผู้อื่นอยู่ เช่น ขุมขู่สื่อ หรือผู้นำความคิดต่างๆ หรือบุคคลสาธารณะ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากตัว สิ่งนี้เป็นสิ่งเลวร้ายมาก ทำไมต้องทำแบบนั้น ??

ในสังคมปชต. การผลักคนที่เห็นต่างไปอยู่อีกฝ่าย หรือร้ายกว่านั้นถือเป็นศัตรูไปเลย เป็นความเจ็บปวด เป็นรอยร้าวให้แก่สังคม มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หากมีผู้คนเอาเยี่ยงอย่างและขยายตัวออกไปในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และคงดำรงอยู่ต่อๆไป เราไม่สามารถสร้างชาติ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้หากคนในชาติขาดสามัคคี และ แน่นอนก็มาจากนักการเมือง มาจากวัฒนธรมการเมืองไทย นี่แหละ ตัวต้นเหตุ

ใครก็ตามที่มีความคิด ทัศนคติ เช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำใครได้ นอกจากไปเป็นหัวหน้า "คนเชียร์แขก" ในตู้อาบอบนวด ที่ทำหน้าที่ค่อยเบี่ยนเบนความสนใจของลุกค้าไปสู่สิ่งที่ผู้เชียร์ต้องการ(คงนึกภาพออก)

  

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความต่าง : เสื้อแดงเชื่อ ศรัทธาในตัวคุณทักษิณ,เสื้อเหลืองไม่เชื่อในตัวนักการเมือง

ความจริงบางส่วนของคุณทักษิณที่พี่น้องเสื้อแดงที่บริสุทธิ์ต้องคิดทบทวน



ภาพตำรวจมะเขือเทศ(เน่าๆ) เพราะเป็น"ไขมันส่วนเกิน"มิใช่ "กล้ามเนื้อ" จึงต้องรีดไขมันส่วนเกินออก ความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้ง โยกย้าย ลงโทษทัณฑ์ในระบบราชการสร้างความไม่เป็นธรรมมาช้านานต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน โดยให้นำระบบการวิเคราะห์ (Analytics) ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบช่วยในการบริหารบุคคลากร เพราะเป็นวิทยาศาสตร์และเที่ยงธรรม ลดข้อโต้แย้ง การเล่นพรรค เล่นพวกก็จะค่อยๆลดน้อยลง












































คำที่ดังก้องสองรูหูของพี่น้องเสื้อแดงที่เชื่อถือ ศรัทธาในตัวคุณทักษิณมาตลอด ยอมเสี่ยงเอาชีวิต อนาคต ครอบครัวตัวเองเข้าแลกซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจน คือ "ผมจะอยู่เคียงข้างท่าน และทำให้พี่น้องมีความเป็นอยู่ที่ดีชึ้น" มาบัดนี้ กลายเป็นไม่ต้องห่วง "ผมเอาตัวรอดได้" (เพราะพยานหลักฐานมันฟ้อง มันชัดเจนขึ้นทุกวัน เกรงว่าจะ "ไม่รอด")

พี่น้องเสื้อแดงที่บริสุทธิ์ไม่ได้โง่งมงายหรอก แต่เป็นความศรัทธา เชื่อถือที่มีต่อตัวคุณทักษิณ เป็นความหวังล้วนๆ ว่าจะช่วยคนจนได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า การที่คุณทักษิณจะช่วยได้ก็ต้องสร้าง หรือช่วย"ฟอกตัว" "ล้างตัว" ให้คุณทักษิณก่อน ส่วนปัญหาคนจนในทุกมิตินั้น มาทีหลัง จึงค่อยข้างเป็นความพร่ามัว เป็นความหวังที่ยากยิ่ง ที่จะเป็นจริงไปได้ จึงเหมือนถูกหลอกให้เชื่อ อย่างมีเงื่อนไข

พี่น้องที่บริสุทธิ์เสื้อแดงจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพี่น้องเสื้อเหลือง ตรงที่ พี่น้องเสื้อแดงหวังพึ่งพิงคุณทักษิณให้ช่วยพวกเขา เพราะเชื่อและศรัทธา แต่พี่น้องเสื้อเหลือง ไม่ได้หวังพึ่งพิงใครโดยเฉพาะนักการเมือง กลับพยายามหาทางออกให้ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังคิดไม่ออก ว่าจะทำอย่างไร ? จึงหวังตั้งพรรคการเมืองใหม่เสียเอง แต่ก็ผิิดอีก เพราะไร้แนวทางในการนำพาประเทศชาติและประชาชนไปในทิศทางที่ถูกต้อง พรรคการเมืองใหม่ยังคงอยู่ในขวดใบเก่า คนเก่าๆ  วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ วิธีคิดเดิมๆ ยังคงใช้เิงินตรา(จากนักธุรกิจ) ในการขับเคลื่อนทิศทางการเมืองไปสู่ความหายนะ เฉกเช่นเดิม และในทัศนคติของแกนนำเสื้อเหลืองก็ยังเป็น"เผด็จการ" ยังฝักใฝ่ในเผด็จการอยู่ ยังไม่สามารถขจััดออกจากมโนสำนึกได้




    

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นี่หรือความยุติธรรมที่แกนนำเสื้อแดงอยากได้ เรียกร้อง ?



แกนนำเสื้อแดงเป็นผู้ต้องหาโทษร้ายแรง คนเนรคุณต่อแผ่นดินเกิด ยุแหย่ให้ให้คนเผาบ้านเผาเมือง เกิดผู้บาดเจ็บล้มตายมากมายหลายครั้งหลายหน จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้สำนึก ยังพูดอีกว่า หากมีโอกาสก็จะทำอีก แกนนำเสื้อแดงเหล่านี้ภักดี ซื่อสัตย์ต่อผู้ว่าจ้าง แต่ทรยศต่อแผ่นดิน ภายหลังถูกควบคุมตัวโดยตำรวจ ได้รับการปฎิบัติเยี่ยงราชา สถานที่พักราวกับอยู่รีสอร์ทริมทะเล มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง อาหารการกินชั้นดี มีผู้อื่นสามารถเข้าถึงตัวพูดคุยได้อย่างอิสระ ไม่ได้มีสภาพดั่งคนกำลังได้รับโทษร้ายแรง ยังมีผู้พบเห็นนายนัฐวุฒิบนเฟสบุ๊ค ด้วย 


การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกินเงินภาษีประชาชน ไม่ปฎิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ที่ควรกระทำ เท่ากับเป็นการเย้ยหยัน ดูถูกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิต ประชาชนที่ถูกแกนนำเสื้อแดงข่มขู่ คุกคามตลอดเวลาและจากการก่อการร้ายของแกนนำเสื้อแดง ช่างทำร้ายจิตใจประชาชนที่รักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง


ส่วน นายจตุพรเป็น ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อทักษิณ (พ.ท.) กฎหมายก็เว้นไว้ให้ไม่ถูกควบคุมตัว ถามว่า พวกเองถามหาความยุติธรรม เรียกร้องความยุติธรรม อย่า"สองมาตรฐาน" หรอ  สิ่งที่เองได้รับอยู่นี้มันไม่ใช่พวกอภิสิทธิ์คน ที่อยู่เหนือประชาชนผู้เสียภาษีดอกหรือ นี่เขาเรียกว่า "สองมาตรฐาน" รึเปล่า(ว่ะ) ??  ไปตายซะ!!


เอกสิทธิ์ที่คุ้มครองนักการเมือง ให้อยู่เหนือประชาชขนทั่วไป เป็นพวกอภิสิทธิ์ชน สิทธิ์พิเศษต่างๆของนักการเมือง ต้องได้รับการยกเลิกด้วย ต้องได้รับโทษทัณฑ์ ได้รับการปฎิบัติเสมอเหมือนประชาชนทั่วไป ด้วย 

ขอประณามตำรวจที่เลือกปฏิบัติ(สองมาตรฐาน)



นายนัฐวุฒิ(เสื้อคอกลมขาว)


นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย(นั่งเก้าอี้)


บ้านพักใช้เป็นที่ควบคุมตัวแกนนำ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ืทนายต่างชาติที่คุณทักษิีณว่าจ้างมาให้สัมภาษณ์สื่อ



Hey.. you asshole lawyer, you know what? You are the guy who is money hunger from the biggest rascal of terrorists who has corrupted our people-taxes and some that fractional money paid you to ruin our country.

ํYou didn't know anythings about Mr. Taksin has funded the red shirts and other 3 questions that Aljazeera's curator had interviewed you...ha...ha... cheap asshole?

You wanna investigate our government and wanna international mediation to be negotiator?
Fcuk off asshole lawyer and keep your fcuking asshole away from our country.

What you have said, didn't know anything Mr.Taksin's backgrounds, we wanna tell you somethings.

It's not democracy, it's explicitly political personal benefits, political conspiracy for their own,Taksin and his colleagues. They pretend its into political issues, propaganda brain washed people money can buy like YOU to anti- government to look like failed state. It's classic plotter. So they are rebelling.

In your country, people who cheated taxes are terrible issues, right?, how about the guys wanna rebel with their terrorists?

Hey..cheap asshole, before leaving out, i want you to convey our 2 poems to MrTaksin, your pity client ...

1.   House is made of brick and stone home is made of love alone.
2.  It's okay if people think you are God, but you are in trouble if you started be living it.





วีดีโอ ณัฐวุฒิ+อริสมันต์สั่งเผาบ้านเมือง

ไหนเองบอกหน่อยว่า จะรับผิดชอบอย่างไร????


จาก...  nehtu123  January 27, 2010 — นัฐวุธปราศัยที่เขาสอยดาว จันทบุรี







สอดคล้องกับข่าวล่าสุดนี้

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เราต้องร่วมกันรุมประณามแกนนำเสื้อแดงเท่านั้นจึงจะหยุดยั้งความรุนแรงได้


เมื่อประมวลเรื่องราวตลอดเวลาที่ผ่านมาของพฤติกรรมแกนนำเสื้อแดง ตั้งแต่ ข้อเรียกร้องที่ไม่มีความชอบธรรม การชุมนุมสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ และไร้ความรับผิดชอบต่อเด็ก สตรีที่แกนนำจงใจใชัเป็นโล่ห์ เป็นบังเกอร์ให้ตัวเอง อย่างไร้ยางอาย เพราะกลัวตาย หรือแม้แต่ยุแหย่ สัั่งให้ผู้ก่อการร้ายโจมตี ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ผู้บริสุทธิ์ ช่างหน้าอดสูใจจริงๆ  คนพวกนี้ถึงเวลาก็หนีหาย เหมือนนายวีระ มุกสิกพงศ์ และพรรคพวกบางคนหนีไปแล้ว คนพวกนี้ ทำได้สำเร็จได้ก็รวยมากด้วยได้ตำแหน่งด้วย หากล้มล้างรัฐบาลไม่สำเร็จก็หนีหายตัวไป แต่ก็ร่ำรวยด้วยเงินค่าจ้างก้อนโตที่นักธุรกิจบางคนรวมหัวกันจ่ายให้ แม้แต่คนที่มาชุมนุมที่ราชประสงค์ส่วนใหญ่ก็ได้รับเป็นค่าจ้างรายหัวต่อวัน

ฮุนเซ็น เสธ แดง และทักษิณ

การเชื่อมโยงกัน แบ่งกันทำงานแต่เป้าหมายเดียวกัน ของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย(เพื่อทักษิณ-พ.ท.)นักวิชาการบางคน แกนนำเสื้อแดง นายทหารบางคน นายตำรวจบางคน ส.ว. นักธุรกิจบางกลุ่ม บางคน การมีผู้ก่อการร้าย ล้วนสอดประสานกัน เป็นขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ ซุ่มโจมตี กล้าหาญท้าทายอำนาจรัฐ อย่างไม่เกรงกลัีว ไม่เคารพกฎหมายอะไรทั้งสิ้น ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทำตามงานที่ได้รับจ้างมา ถือว่าซื้อสัตย์ต่อผู้ว่าจ้าง แต่ทรยศต่อแผ่นดิน

ผู้ก่อการร้ายที่ทำงานให้กับแกนนำเสื้อแดงที่ถนนพระรามสี่-บ่อนไก่

 หากคนพวกนี้ล้มรัฐบาลได้สำเร็จ จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าการที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายให้ได้ ดึงความเป็นนิติรัฐ ให้ยังคงศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่ของท่านนายก อภิสิทธิ์ จึงต้องกำหราบแกนนำ ผู้ก่อการร้ายให้สิ้นซาก และต้องกระชากหน้ากากของพวกนักธุรกิจที่ทำลายชาติโดยให้เิงินสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ปิดบริษัท ยึดทรัยพ์สินบริษัทตกเป็นของแผ่นดินให้สิ้น มิฉะนั้น พวกนี้ก็ไม่เข็ดหราบ ค้ากำไรเกินควร เล็งผลเลิศ หากทำสำเร็จก็ได้ประโยชน์มากมาย แต่ประเทศชาติและประชาชนเสียหายอย่างประมาณค่ามิได้ โดยเฉพาะ เด็กๆและเยาวชน ได้แบบอย่าง ซึมซับสิ่งเลวๆ จากคนที่อ้างว่าเป็นคนดี อ้างประชาธิปไตย สารพัดอ้าง หาก แค่ยุบสภาทันทีแล้วแก้ปัญหาได้หมดตามข้อเรียกร้อง ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกแน่นอน

เด็กที่ผู้ก่อความไม่สงบนำเป็นโล่ห์ป้องการการยิงโต้ตอบ

ดังนั้นการที่ส.ว.กลุ่มหนึ่ง นำโดย พล อ. เลิศรัตน์ รัตนวานิช เข้าเสนอเป็นคนกลางเจรจากับแกนนำเสื้อแดงจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้เจตนาดี ลดความสูญเสียหากพูดคุยกันได้ แต่สิ่งที่ต้องทำยิ่งกว่าก้คือต้องรุมประณามแกนนำและเป็นผู้ก่อการร้าย ทำร้ายประชาชนเสียเองเพื่อโยนบาปให้เจ้าหน้าที่ หมดความชอบธรรม ไม่ใช่เรียกร้องให้รัฐบาลละเลยการบังคับใช้กฎหมายอย่างแคร่งครัด การบังคับใช้กฎหมายไม่เคยเกิดขึ้นจริงจังสักหน สิ่งเหล่านี้ ประวัติศาสตร์การเมืองไทยจึงซ้ำรอยอยู่เสมอ ลองนึกทบทวนดู  เพราะความอ่อนแอทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้นำทางความคิดต่างๆ ละเลยหลักการนิติรัฐ การให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ต่อผู้ก่อการร้าย นักธุรกิจรวมหัวกันล้มล้างรัฐบาล

สนับสนุนให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายให้เป็นผลสำเร็จ และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันรุมประณามแกนนำเสื้อแดงและ ผู้สนับสนุนทุกฝ่ายที่กำลังพาชาติของเราสู่หายนะ การช่วยกันประณามจึงเท่ากับเป็นการบอกแกนนำโดยตรงว่า สังคมที่รักสงบไม่ต้องการให้มีการชุมนุมแบบนี้อีกต่อไปให้ยุติเสีย มิใช่เจรจาหาทางออกให้แกนนำเสื้อแดง เหมือนเป็นการให้ท้ายคนทำความผิด และก็จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยมา

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศอฉ. อย่าประมาท !!

สิ่งที่ ศอฉ. ทำได้ดีพอประมาณคือการประชาสัมพันธ์ ชี้แจงผ่านสื่อต่างๆ อย่าให้มีประเด็นที่ประชาชนคาใจ และเน้นเรื่องผู้ก่อการร้ายที่ยังคงปฏิบัติการอยู่อย่างเข้มข้น

ภาพผู้ก่อการร้ายพร้อมอาวุธสงครามปะปนอยู่กับผู้ประท้วง

หนึ่งในความผิดพลาดของ ศอฉ. ที่ไม่พยายามจับกุม ผู้ประท้วงส่งฟ้องศาล ให้มากที่สุด อย่าให้เิกิดการรวมตัวกันได้อีก ไม่ว่าพื้นที่ใดทั่วประเทศ แม้แต่เผายางรถยนต์ตามถนนต่างๆ(การเผายางรถยนต์เริ่มรุกลามออกไปต่างจังหวัดมากขึ้นเรื่อยๆ)  มิฉะนั้น จะเกิดความมั่นใจ ค่อยๆสะสมพลังมวลชนไปเรื่อยๆ จากที่หนึ่งไปที่อื่นๆ จนยากที่จะควบคุมอีกต่อไป เมื่อนั้น รัฐบาลจะบริหารจัดการได้ยากยิ่งขึ้น  จะวุ่นวาย โกลาหลทั่วประเทศ  ในที่สุดก็บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ผู้ก่อการร้ายครองเมือง ล้มเหลวในที่สุด 

หากทำได้จากพื้นที่หนึ่ง ก็จะกลายเป็นพื้นที่ตัวอย่าง ผู้ประท้วงก็จะไม่กล้าออกมารวมตัวกันในพื้นที่อื่นๆ  ก็ง่าย และเร็วขึ้นที่จะสลายพื้นที่ราชประสงค์


วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แกนนำเสื้อแดง : เป็นแค่เกลือ จะตีราคาเป็นพิมเสน


ขอสนับสนุนให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายให้เป็นจริง เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของนิติรัฐ และกำจัดผู้ก่อการร้ายให้สิ้น ลอกคราบออกมาให้หมดว่าเป็นใครบ้าง 

แกนนำเสื้อแดง นอกจากไม่มีความชอบธรรมในการในการเรียกร้องประชาธิปไตย ภักดีต่อผู้ว่าจ้างมากว่า แผ่นดิน ไม่มีสำนึกความรับผิดชอบอะไรต่อบ้านเมืองสักนิด สร้างความบาดหมาง ยุแหย่ อย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจกับผู้ก่อการร้าย คดีติดตัวหลายสิบคดี กำลังสร้างราคาให้กับตัวเอง นี่ประเด็นหนึ่ง แล้วทำให้รู้สึกเหมือนว่า รัฐบาลล้มเหลว บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ บ้านเมืองไร้ขื่อแป โดยหยิบยก เอา UN มาสร้างราคาให้ตัวเอง ทั้งๆที่เป็น.... กลุ่มผู้ก่อการร้าย ตามข้อหาของเจ้าหน้าที่

พรรคเพื่อไทย(พ.ท.) หรือเพื่อทักษิณ (พ.ท.) หรือ พรรคทรชน (พ.ท.) ??

ขอประณามนักการเมืองพรรคเพื่อไทย ที่ทำแต่สิ่งเลวทราม สร้างปัญหาในสภาไม่พอ ออกมานอกถนน ตอนนี้กำลัง "ชักศึก"เข้าบ้าน ไม่รู้จะว่าจะใช้คำว่า "ขายชาติ" จะให้ความหมายน้อยไปหรือไม่ต่อพฤติกรรมทั้งมวล

อึดอัด อัดอั้นมานานต่อพฤติกรรมของนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองในพรรค พ.ท. (เลือกใช้เอาเองตามความชอบเฉพาะบุคคล) ซึ่งสร้างแต่ปัญหา บิดเบือน ปกป้องพวกพ้อง ทำลาย เรียกว่า สารพัด พฤติกรรมที่เลวๆ มีหลักฐานมากมายของการเชื่อมโยงกันระหว่าง คุณทักษิณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง เสธ แดง กองกำลังติดอาวุธ ผู้ก่อการร้าย นักวิชาการบางคน อย่างล่าสุด หนุนหลังให้นักวิชาการ 4 ท่านยื่นหนังสือผ่านประธานกรรมาธิการต่างประเทศ ชื่อ นายต่อพงศ์ ไชยสาสน์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็พร้อมเล่นลูกเป็นระนาด ให้ส่งกองกำลัง UN เข้ามาดูแล ให้เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็พยายามหนหนึ่ง สร้างปัญหา ยุแหย่ สร้างความแตกแยก เมื่อได้ที่แล้วก็เกณฑ์คนมาประท้วง พยายามทำให้รัฐไร้อำนาจการบริหาร พยายามทำให้เป็นรัฐล้มเหลว (Failed state) เพื่อให้ต่างชาติอ้างเหตุเข้าแทรกแซง แต่หารู้ไม่ว่า(อาจรู้แต่จงใจ) การเข้าแทรกแซงนั้นสร้างปัญหา ยิ่งกว่า เพราะต่างชาติที่มีผลประโยชน์ หรือเล็งผลเลิศ ในประโยชน์ที่จะได้จากประเทศไทย ก็จะรุมเข้ามา"กินโต๊ะ" เหมือน "แร้งลง" ไปดูประเทศต่างๆที่ผ่านมาได้ เช่น อัฟกานิสถาน หรือ อิรัก ประชาชนก็ฆ่าฟันกันไป ในขณะที่ผลประโยชน์ในแผ่นดินไทยก็ถูกตักตวง กอบโกยโดยคนร่ำรวย และหรือ นักการเมืองในประเทศ ร่วมกับต่างชาติ จนเหลือแต่ซาก แน่นอน



ความระยำของนักการเมืองไทยนั้น ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นมาเป็นเวลาหลายสิบปี เลวร้ายลงทุกวัน ไม่รู้จะเปรียบได้กับอะไรดี ประเทศไทยเคยสุขสงบ เป็นที่กล่าวขาน เลื่องลือสิ่งดีงามมากมาย  แม้แต่ประเทศสิงคโปร์ ยังอิจฉา ตาร้อน แต่นักการเมืองไทยทำและกำลังทำให้ประเทศที่รักของเรานี้ เป็นรัฐล้มเหลว (failed state) ล่มสลาย

นักการเมืองไทยบางคนนั้น ถ้าเปรียบการเล่นไพ่ยิ่งกว่า เล่นไพ่สองหน้าอีก ตอแหลทุกคนเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง นอนตื่นขึ้นมา ส่องกระจกยังตกใจตัวเอง คิดว่าไม่ใช่หน้าตัวเอง

ยิ่งคิดยิ่งแค้นฝังหุ่น ผมจะทำทุำกอย่างที่สร้างสรรค์เพื่อให้นำ บัญญัติ 3 ประการ (The three commandments) ไปใช้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ ภายใน10 ปีนับจากนี้

ล่าสุด แกนนำเสื้อแดง เสนอให้ยุติการยิง มีเงื่อนไขให้ UN เป็นคนกลางในการสังเกตการณ์ในกระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลไทย และได้รับการชี้แจงจาก  ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ในเวลาต่อมา ว่านี่เป็นกิจการภายในประเทศไทย ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว และที่่สำคัญอื่นใด รัฐบาลนายก อภิสิทธิ์ ต้องพิสูจน์ให้เห็๋นเป็นที่ประจักษ์ก่อนว่า ประเทศไทยมีนิติรัฐอย่างแท้จริง และสามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ไม่ใช่ใครก็สามารถคุกคม ข่มขู่รัฐบาลได้ แล้วต้องทำตาม

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สภาพเสธแดงหลังถูกยิง

ศอฉ. ปรเะกาศกดดันปิดเส้นทางเข้าออกเริ่ม 18.00น วันนี้

มาตรการกดดันเริ่มหัวค่ำ แต่ควรเข้าสลายผู้ชุมนุมตอนเช้าจะดีที่สุด สลายกลางคืนไม่เหมาะ สูญเสียแยะแน่่ แกนนำเสื้อแดงแตก นายวีระ มุสิกพงศ์ น่าจะออกไปจากเวทีราชประสงค์ตั้งแต่ไม่เห็นตัวปราศัย เพราะเป็นฝ่ายเห็นด้วย และตอบรับแผนปรองดอง 5 ข้อของนายก อภิสิทธิ์ อย่างไม่มีเงื่อนไข แต่แกนนำเสื้อแดงบางคน โยกโย้ เรื่องมาก แต่ไม่รู้สถานะตัวเอง อย่างที่เคยพูดถึงบ่อยๆ แม้คนๆเดียวก็มีผลให้ประเทศชาติล่มจมได้ ถ้าเล่นการะมือง แบบนายจตุพร พรหมพันธ์ และนักการเมืองอีกหลาๆคน

ล่าสุด เสธ แดงถูกยิงที่หัวอาการสาหัส ข่าวพีบีเอสบอก ถูกนำส่ง รพ.หัวเฉียว บางแหล่งข่าวบอก รพ. ตำรวจ

เป็นอย่างนี้นี่เองที่เริ่มกดดันหัวค่ำ เตรียมจับตายผู้ก่อการร้าย คืนนี้ทั้งคืน ยิงสู้กันสนั่นแน่ คอยนับศพได้เลย ไม่รู้ว่าจะนับไหวรึเปล่า ??

นี่คือเสรีภาพที่ทุกคนเลือกได้เอง ว่าจะตายแบบไหน??

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การเมืองไทยและฟิลิปปินส์ ไม่รู้ใครเลียนแบบใคร แต่ไปสู่หายนะทั้งคู่

วันที่ 10 พ.ค.นี้เป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดี ประเทศฟิลิปปินส์ ไม่ต้องไปดูว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี ผลก็เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนหัวโขน เฉกเช่นเดียวกับประเทศไทย ทั้งนี้เพราะ ทั้งคนและระบบการเมืองล้มเหลวหมดแล้วนั่นเอง ไม่สามารถสร้างชาติ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

สิ่งที่แตกต่งกันระหว่งสองประเทศมีมากมาย แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกันคือ

1. นักการเมืองที่ไร้จิตสำนึก ที่จะทำงานเพื่อส่วนรวม และสืบทอดอำนาจทางการเมืองราวกับบริษัทของตระกูลตัวเอง เช่นตระกูล  อาดาล อัมปาตวล จูเนียร์ มีพ่อเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่ง ที่ถูกตั้งข้อหาฆ่าหมู่ 46 ศพ ปลายปีที่แล้ว เป็นพันธมิตรกับ ประธานาธิบดี มาเรีย อาร์โรโย่ เป็นต้น

2. ประชาชนมีคุณภาพชีวิต การศึกษาโดยทั่วไปยังไม่ดี เรียกว่า รายได้ยังไม่ดี ไทยมีรายได้ต่อหัวต่อคน ต่อ จีดีพี 8,200 ดอลลาร์ ขณะที่ฟิลิปปินส์ มี 3,500 ดอลลาร์

3. ระบบประชาธิปไตยที่ไม่ได้ถูกกล่อมเกลา ปลูกฝัง พฤติกรรมของประชาชนในการแสดงออก จึงเป็นเสมือน งานเทศกาล "เทกระจาด" แจกของ ของปอเต็กตึ๊ง คือ ไร้ระเบียบ ไม่รู้จักสิทธิและหน้าที่

4. สื่อกระแสหลัก ขาดสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน ต่อบ้านเมือง และ ไม่กล้าหาญเพียงพอ

5. กระแสทุนนิยมเสรีกักขฬะ  บุกยึดสร้างอิทธืพล เหนือตัวบุคคล และพรรคการเมือง จึงก่อให้เกิดการเข้าแย่งชิง อำนาจรัฐ ผ่านนักการเมือง ผ่านพรรคการเมือง เพื่อสนองผลประโยชน์กลุ่มพวกพ้องตัวเอง เมื่อต่างคนต่างแย่งขิงอำนาจรัฐ จึงต้องมีกองกำลัง ซึ่งอาศัยจากกองทหาร ตำรวจ ทั้งใน และนอกราชการ พวกนอกรีต นอกรอย เป็นกองกำลังติดอาวุธ ไว้ป้องกันตัวเอง และคุกคาม ข่มขู่ ผู้อื่น

6. การเลือกตั้ง เป็นแค่ช่องทาง แค่อุบายให้เหล่านักการเมือง ได้ถูกเรียกว่า ผ่านระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น จึงหวังพึ่งการเลือกตั้งไม่ได้ เพราะ ทุจริต ซื้อเลียง โกงการเลือกตั้งอย่างมโหฬาร

7. หัวใจระบอบ ปชต. อยู่ที่การมีส่วนร่วมของภาคพลเมือง ยิ่งมีส่วนร่วมมาก ยิ่งเป็นประชาธิปไตยมาก แต่ทั้งสองประเทศนี้ ภาคประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองแค่หย่อนบัตรเลือกตั้ง

8. ทั้งสองประเทศจัดเป็นประเทศที่มีความโปร่งใสด้านเงินที่เกี่ยวกับการเมืองสูง (Money in politics transparency) ระดับเดียวกับสหรัฐอเมริกา สูงกว่าสิงคโปร์มาก แต่สิงคโปร์ทุจริต คอรรัปชั่น น้อยกว่ามากมาย
Chart below: Levels of money in politics transparency



บัญญัติ 3 ประการในการแก้ไขปัญหาการเมืองของประเทศทั้งสอง

1. ระบบการคัดกรองนักการเมือง
2. เงินที่เกียวการเมือง
3.ปฏิรูปสื่อ

ต่อไปขอเรียก ทั้งสามข้อข้างต้นว่าเป็น "บัญญัติ 3 ประการ"

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เสธ แดงถูกจับ



ได้เคยเขียนถึง เรื่อง  ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม(Justice delayed is justice denied) การบริหารชาชการแผ่นดิน ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีนั้น ภาวะผู้นำเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้อง"เก่งคน" อย่างโดดเด่นเป็นหลัก เพราะ ปัญหามีมากมาย สารพัด ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่หมักหม่ม เรื่อรัง และการนำพาชาติและประชาชนมุ่งไปข้างหน้า อย่างมั่นคงและให้ถูกทิศทาง จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย


การให้สิทธิที่เหนือคนอื่นทั่วไปของนายทหาร ตามข้อตกลงระหว่างทหาร-ตำรวจ-นักการเมือง ในการเข้าจับกุม คุมขัง  เป็นเหมือนอภิสิทธิ์ชน แม้แต่คนทำผิด ซ้ำซาก ยังได้รับการปฏิบัติ เหนือประชาชน เป็นตัวอย่างของความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง ที่ต้องแก้ไข ยกเลิกไป 

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นายอภิสิทธิ์ ไร้ภาวะผู้นำโดยสิ้นเชิง

เคยเขียน ถามถึงนายก อภิสิทธิ์: You can lead, but can you inspire? มาวันนี้แน่ใจได้แล้วว่า เป็นได้แค่คนพูดมีหลักการ มีเหตุมีผล พูดภาษาที่สองได้ดี  โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า เป็นคนดีคนหนึ่ง  แต่ไม่เหมาะกับการเป็นนายกรัฐมนตรี คุณสมบัติเบื้องต้นเหล่านั้น ผู้บริหารทั่วไปก็มีได้ หากดูจากการบริหารราชการแผ่นดิน ปีกว่าที่ผ่านมา การโกงกินยังชุกชุมราวกับยุงในป่าดงดิบ รัฐมนตรีและคนแวดล้อม มีแต่เสือหิว การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนบัดนี้ก็ยังแต่งตั้งไม่ได้ เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ทั้งๆที่เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีโดยตรง เอาแค่ตรงนี้ ก็สรุปได้แล้วว่า ไร้ภาวะผู้นำ



จริงอยู่ นายกอาจจะอ้างว่า ปัญหาเหล่านี้ เป็นมานานเรื่อรัง แต่ถ้าคนที่มีภาวะผู้นำ มีวิสัยทัศน์นั้น จะมีแนวทาง มีแผนการระยะยาว ปัญหาก็รู้อยู่ เช่น เงินที่เกี่ยวข้องกับการเมือง(money politics) นายก อภิสิทธิ์ เคยเขียน เคยพูดถึงบ่อยๆ แต่ไม่เห็นหยิบยกมาเป็นประเด็นแก้ไข ไม่สนใจจะแก้ไขอย่างไรไห้หมดไป อย่างเป็นรูปธรรม ประชาชนพร้อมรับฟังและพร้อมสนับสนุนแต็มที่ แต่เปล่าเลย เหมือนกันหมดทุกคน ทั้งสภา ทั้งสภาจริงๆ ไม่ได้แกล้งพูด ส.ส. ในสภามีสองประเภท "สมัครเล่น"(มีธุรกิจอยู่ เข้ามาเพื่อแสวงหาพวก อำนาจ เงิน ไปหนุนเนื่องธุรกิจตัวเอง งานการเมืองจึงเป็นเรื่องเล่นๆ) กับ "นักการเมืองโดยอาชีพ"(ไม่มีธุรกิจ เข้ามาแสวงหาอำนาจ พวก เงิน) แต่ไม่มี"นักการเมืองมืออาชีพ" ซักคนเดียว ที่ประชาชนจะฝากความหวังไว้ได้เลย ตลอด 78ปีที่ผ่านมา  ปัญหาของประชาชนรู้หมด แต่ไร้ปัญญา ขาดความจริงใจ จริงจังที่จะแก้ไข ได้แต่โยนเศษขนมปังให้เป็นครั้งคราว ลองผิดลองถูกสารพัด แต่บนอนาคตของชาติ บนความทุกข์ยากของประชาชน นักการเืมืองบางคนมือเปื้อนเลือด บางคนเท้าเหยียบเลือด กดขี่ข่มเหง และระหว่างการลองผิดลองถูกของนักการเมืองนั้น บางคนร่ำรวยมาก บางคนร่ำรวยจนผิดปรกติ บางคนจับได้ของกลางคาปาก และที่เห็นเป็นข่าวนั้นเป็นส่วนน้อย นะ แต่ชาวนา ชาวไำร่ เกษตรกร ประชาชนทั่วไป จนลง หนี้สินเพิ่มพูน ลืมตาอ้าปากไม่ได้ คุณภาพชีวิตแย่ลง พูดแล้วน้ำตาจะไหล เพราะเจ็บใจ เจ็บปวดที่สุด ทำอะไรไม่ได้

มาถึงเรื่องสำคัญ แผนปรองดอง ของนายก เป็นการทำลายนิติรัฐโดยสิ้นเชิง ปากบอกต้องมีนิติรัฐ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ต่อไปหากใครต้องการจะสร้างปัญหาให้ประเทศเพื่อประโยชน์ตัวเองแอบแฝง ก็อุบายให้เป็นเรื่องการเมือง ดูขลัง ดูคลาสสิคดี ตายก็ได้รับการยกย่องเชิดชู รัฐก็จะทำอะไรไม่ได้เหมือนอย่างที่ผ่านๆ จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ ไม่มีนิติรัฐ  บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ บ่อยมาก

  นายก อภิสิทธิ์ได้แต่เล่นลิ้นไปวันๆ (Daily rhetoric) เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากของอนาคตลูกหลานเราทุกคน เป็นต้นทุนแปรผันทางสังคมที่ฝังอยู่(Embedded-social variable costs) ไปชั่วลูกชั่วหลาน  เพราะ การปรองดอง กล่าวคือ การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผู้กระทำผิดกฎหมายร้ายแรงมาก ถึงขั้นเป็นผู้ก่อการร้าย ยังคงได้รับการต้อนรับ หลายฝ่าย หลายคนยังคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง สำนึกผิดชอบ ชั่ว ดี ยังไม่เกิด รัฐบาลแค่พยายามจะให้มี ให้เป็นนิติรัฐ แต่ก็ล้มเหลว เพราะ ภาวะผู้นำโดยเท้

 รัฐบาลนายก อภิสิทธิ์ไม่ได้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า การชุมนุมที่ราชประสงค์นี้ได้ถูกบังคับใช้กฎหมายจนเรียบร้อย แม้นจะมีการสูญเสียบ้าง และหากบังคับกฎหมายได้สำเร็จ ต่อไปใครก็ตามหึกเหิมคิดจะทำ ก็คงไม่กล้า หรือกระทำก็จะได้รับการบังคับใช้กฎหมายเฉกเช่นเดียวกัน  แต่เหตุการณ์ยุติลงเกิดจากการประนีประนอม ดังนั้น ค่าต้นทุนแปรผันทางสังคมที่กล่าวมานี้แพงมาก ยังคงฝังอยู่ เป็นปทัสถาน เป็นประวัติศาสตร์ เป็นลัทธิเิอาอย่าง ตกทอดไปยังลูกหลานในอนาคต อย่างเจ็บปวดที่สุด บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้เลยว่า มรดกบาปนี้เกิดจาก นายก อภิสิทธิ์ เป็นหนึ่งในการสร้างปทัสถานไว้ให้

รัฐบาล ไม่ใช่รัฐ(คำพูดนายก อภิสิทธิ์) เมื่อรัฐบาลเป็นผู้คุมกฎ เป็นผู้บริหาร ผู้บังคับใช้กฎหมาย ถูกท้าทายอำนาจ โดยมีกลุ่มบุคคล กระทำผิดกฎหมาย ซ้ำซาก ร้ายแรง คุกคาม ข่มขู่ พฤติกรรมมาเพีย หรืออะไรสารพัดจะเปรียบเทียบ แต่รัฐบาลไม่สามารถจัดการได้จนต้องประนีประนอม แล้วเราๆ ท่านๆ จะหวังอะไรได้อีก ในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สิทธิและเสรีภาพไม่ต้องพูดถึง...เอวัง

ทั้งฟันธง และคอนเฟิร์ม ได้เลยว่า นาย อภิสิทธิ์ ไม่เหมาะกับ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างที่เคยพูดถึง แม้นมีคนดี มีสำนึกในคุณธรรมบ้าง เมื่อเข้ามาอยู่ในระบบเดิมๆนี้ ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนมีการศึกษาที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

ของฝาก.... "Politicians should be your humble servants, not your all powerful masters"
Miroslov Kolar, 17/08/2005

นักการเืมืองควรเป็นผู้รับใช้ที่สุภาพ นอบน้อม มิใช่เจ้านายที่เต็มไปด้วยอำนาจบาทใหญ่(แปลเอง)

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สื่อเสรีที่เลือกข้างสร้างสันติภาพ หรือสงครามกลางเมือง ??

จากข่าวนี้ เนื่องในวัน"เสรีภาพสื่อมวลชนโลก" ตั้งชื่อประเด็นว่า "สื่อเสรีร่วมสร้างสันติภาพอย่างไร?"

กูรูสื่อกระแสหลัก นักสันติวิธี ใครต่อ่ใครมากันแยะว่างั้น ผู้อภิปรายทุกคนบอกว่าสื่อสามารถเลือกข้างได้ เพราะมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ  ผมจับประเด็นได้ดังนี้...

1. ต้องเป็นมืออาชีพ
2. ต้องมีความรับผิดชอบ (ไม่ได้บอกว่ารับผิดชอบใคร- เจ้าของเงิน,สื่อ ? หรือ ประเทศชาติและประชาชน ?)
3. สื่อสามารถเลือกข้างได้ เพราะมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
อันที่จริงเคยเขียนถึงบ้างแล้วเรื่อง ตัวอย่างความไร้ความรับผิดชอบของสื่อกระแสหลัก




1. ความเป็นมืออาชีพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ มีความกล้าหาญที่จะนำเสนอข่าวสารทั้งความจริง(Reality or truth) และข้อเท็จจริง (Facts) ลงในพื้นที่ข่าวที่มีคนเข้าถึงใด้มากๆ และลงซ้ำบ่อยๆ แม้จะทำให้ผู้เป็นข่าวเดือนร้อน ก็ต้องทำ นั่นคือหน้าที่ ต้องนำเสนอ กระตุ้นเตือนผู้เกี่ยวข้อง ฟ้องประชาชนให้ตื่นตัว ให้รับรู้ เมื่อกระทำอย่างต่อเนื่องจนปัญหานั้นๆ ได้รับการแก้ไข ดูแลเอาใจใส่ หรือจนประชาชนลุกขึ้นร่วมประณาม จนผู้นั้นหรือกลุ่มนั้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิฉะนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้ยืนอีกต่อไป

2.  นี่จึงเป็นการรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เจ้าของสื่อ ไม่ใช่กองบรรณาธิการสื่อ จึงถือเป็นสื่อสารมวลชนมืออาชีพ อย่าลืมต้องกล้าหาญด้วย

3. สื่อเลือกข้างได้ มีสิทธิ อันนี้อ้างกันจัง และเข้าใจกันผิดเพี้ยนไปหมดแถมยังแสดงทัศนะไปถึงลูกศิษย์ ประชาชนทั่วไปอย่างผิดๆ จริงอยู่ คนเราเกิดมาพร้อมด้วยสิทธิและเสรีภาพที่จะเลือกได้เสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างสีแดง หรือเหลือง หรือหลากสี สื่อเลือกข้างเท่ากับสื่อเห็นด้วยกับฝ่ายที่เลือก ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย ในสังคมไม่ได้มีแค่นี้ ทั้งสองฝ่ายมีทั้งที่ดีที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน ก็มีแนวทาง วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เราต้องยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เพื่อให้สังคมอยู่กันอย่างผาสุก ซึ่งสำคัญกว่าจรรยาบรรณสื่อ (Media's code of conduct) มากมายนัก  เราต้องมองให้กว้างกว่ากะลาที่ครอบหัวอยู่ ถ้าสื่อเลือกข้าง แล้วสื่อจะมีความยุติธรรมได้อย่างไร? มีแต่แบ่งพวกถือหาง ความแตกแยกยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยการถือหางของสื่อแต่ละฝ่าย อย่างที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจน ตั้งแต่สื่อช้างเสื้อเหลือง มาถึงสื่อข้างเสื้อแดง ทำให้สังคมยิ่งสับสนข่าวสารต่างๆที่ท่วมหัวเต็มไปหมด ทั้งข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวจริง และข่าวที่ตั้งใจปั้นขึ้นเพื่อใส่ร้าย จนแยกแยะไม่ออก ต่อให้จบ ปริญญาเอก10ใบก็ตาม

ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ แค่ระดับครอบครัว.. พี่ชาย 8 ขวบ กับน้องสาว 6 ขวบทะเลาะกัน ไม่ยอมให้กัน พ่อแม่กลับมาถึง ฝ่ายแม่เข้าไปโอ๋ลูกชาย เข้าข้างลูกชาย ดุ ลูกสาวต่างๆนานา หาว่าไม่เคารพพี่ เป็นน้องต้องรู้จักเคารพพี่ ส่วนพ่อ เข้าข้างลูกสาว ดุลูกชาย บอกว่า เป็นพี่ทำไมรังแกน้อง เป็นผู้ชายนะต้องรู้จักเสียสละให้น้อง

เหตุผลที่พ่อแม่ต่างพูดกับลุกนั้นถูกต้องถูกแล้ว แต่ไม่พอ ไม่ควรเข้าข้างใคร โดยไม่ได้ตรวจสอบเหตุผล ความถูกผิด เหตุที่ทะเลาะกัน ทำให้ลูกๆทั้งสองนั้นสับสนแน่นอน เพราะว่า สาเหตุแห่งปัญหาไม่ได้รับการหยิบยกมาตัดสิน และมีหลักการอะไรในการชี้ผิด ชี้ถูกให้เป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ใช้"หลักกู" อย่างเดียว ?? และหาก พ่อแม่คู่นี้ทำแบบนี้ทุกครั้งที่ลูกๆทะเลาะกัน ลูกชายก็จะรู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย เป็นพี่ด้วยต้องเสียสละ ส่วนลูกสาวก็ รู้แต่เพียงว่า เป็นน้องต้องยอมพี่ แต่ไร้หลักยึดที่ถูกต้อง

ตัวอย่างนี้ชัดเจนที่สุด  ประเทศไทยเปรียบเหมือนบ้าน ขณะนี้มีกลุ่มคนหนึ่งกำลังจะเผาบ้าน สื่อที่เลือกข้างฝ่ายหนึ่งบอกว่า "ห้ามเผา อย่าเผานะนี่บ้านของพวกเรา" สื่อที่เห็นด้วยก็บอกว่า..."เผาเลยๆ ดีแล้ว เผาๆๆๆ" สื่อที่อ้างตัวเป็นกลาง ก็บอกว่า "กูไม่เกี่ยว กูไม่ยุ่งด้วย เดี๋ยวโดนลูกหลง" แต่ไร้สื่อกระแสหลักที่จะบอก ห้ามปราม โดยยกหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เคียงให้ประชาชนเห็น และสื่อออกไป บ่อยๆ ตอกย้ำ ให้ผู้นำความคิดต่างๆ ออกมาร่วมประณามกลุ่มคนที่กำลังเผาบ้าน

เป็นเพราะสื่อที่เลือกข้างและมองเห็นแค่ไ่ม่กี่สีนี้ ส่งผลแระทบอย่างใหญ่่หลวงต่้อประเทศชาติและสังคมไทยอย่างน้อย 4 ด้านด้วยกัน

1. ต้องปฏิรูปสื่อโดยด่วน  เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก  จึงขาดความเป็นธรรม จึงไม่กล้าประณาม เว้นแต่โดนคุกคาม ข่มขู่โดยตรง จึงออกมาประณาม จึงทำให้เป็นสื่อที่เห็นแก่ตัว เพราะ เรื่องชาติ บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ไม่สนใจ สนใจแต่ทรัพย์สิน บริวารตัวเอง แล้วอย่างนี้จะบอกเป็นมืออาชีพได้หรือ ??

การเลือกข้างของสื่อ ถือเป็นงานที่หยา่บมาก นี่ยังไม่ได้พูดถึง การที่สื่อกระแสหลักสมคบคิดกันเงียบ และเพิกเฉย ละเลย มองข้าม (Mainstream media's conspiracy of silence and oversight) ข่าวที่ควรนำเสนอ สื่อกระแสหลักมืออาชีพ เขาดู เขาวัดกันถึงขนาดนี้

2.สร้างความแตกแยกในสังคม  เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก สร้างความสับสน สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนที่เสพสื่อ ทั่วไป สับสน สร้างสนามรบเพิ่มขึ้น แพร่กระจายไปทั่วหัวระแหง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

3. ส่งเสริมลัทธิเอาอย่าง ให้เผาบ้านเผาเมือง เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก ทำให้กลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายได้ใจ ย่ามใจ มีคนห็นด้วยแม้จะทำด้วยความไม่ชอบธรรม ละเมิดกฎหมาย คุกคามข่มขู่นานา สร้างกฎหมู่ตัวเอง หึกเหิม ยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ มีมิจฉาทิฏฐิ(หลงผิด คิดผิด) เพิ่มมากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม หากสื่อเลือกข้างหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) เมื่อมีกลุ่มใดๆ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างรุนแรงอย่าง เสื่อเหลือง เสื้อแดง สื่อก็ต้องความกล้าหาญ ปลุกประชาชน ปลุกผู้นำทางความคิดต่าางๆ นักวิชาการต่างๆ ออกมารุมประณาม กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเอง เพราะสังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ทำงานได้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น ลดผลกระทบมากมาย ลดความสูญเสียมากมาย จบเร็ว ไม่ยืดเยื้อ อย่างปัจจุบัน

4. สร้างปัญหาให้แก่ผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะว่าสื่อขาดจิตสำนึก ดันไปเลือกข้าง ต่างฝ่ายต่างถึอหาง ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมความดีงาม (Virtue principle) ที่ทำให้บ้านเมืองอยู่อย่างผาสุก ท่ำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายทำงานยิ่งยากขึ้น แม้จะรู้หน้าที่ดีก็ตาม ความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจึงแผ่ขยายไปทั่วอย่างที่เห็น สุดท้ายก็ต้องนำภาษีประชาชนไปใช้ ไปเยียวยาบ้านเมือง ผู้คนที่ได้รับผลกระทบ เงินภาษีเหล่านี้ แทนที่จะไปพัฒนาประเทศอย่างอื่นที่จำเป็น


ป.ล. ผมไม่เคยเขียนวิจารณ์สื่อในเครือผู้จัดการสักครั้ง เพราะ ไม่เห็นเหตุผลของความเป็นสื่อสารมวลชน นอกจากเป็นแค่.... newsletter


แล้วยังจะบอกว่าสื่อสามารถเลือกข้างได้ (ที่ไม่ใช่ข้างคุณธรรมความดีงาม) อยู่อีกหรือ ? พ่อกูรูสื่อทั้งหลาย ฮ่วย...!!

พูดย้ำหลายหน ในประเทศที่เขาเจริญมาได้ เมื่อคน และระบบ "หลุด" ยังมาเจอสื่อกระแสหลักเป็นด่านถัดมา ที่คอยกำักับ ตรวจตรา พฤติกรรมเหล่านักการเมือง หรือคนทำงานสาธารณะ ที่มีท่าที หรือพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากหลักการคุณธรรมความดีงาม ที่สังคมที่รักสงบไม่ต้องการ ให้ปรับเปลี่ยนท่าที พฤติกรรมให้อยู่ในธรรมนองคองธรรม ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ต่ออนุชนรุ่นหลังต่อๆไป และกระตุ้นเตือนหน่วยงานรัฐให้เข้ไปตรวจสอบดูแล บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และหากบุคคลเหล่านี้ยังคงไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็ต้องร่วมกันประณาม จนกว่าจะไม่มีพื้นที่ให้ยืน


หากสื่อกระแสหลักยังคงเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ หมาขี้เรื้อนแก่ๆ ฝูงหนึ่งเท่านั้น และคอยหาโอกาส ฟัดเหยื่อ แบบดารา นักแสดง นักร้อง ที่เพลี้ยงพล้ำ หลงเข้ามา รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่กับนักการเมือง ที่กินบ้านกินเมือง นายทหารมาเฟีย นายทหารโกงกินภาษีประชาชน ไม่กล้าแตะ ..... น่าสังเวช

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การปฏิรูปการเมืองไทย ...1

บทนำ

ทุกวันนี้ คนเข้าสู่แวดวงการเมืองไทย แค่มีคุณสมบัติตามกฎหมายกำหนด
ก็สามารถ"เล่น"การเมืองได้แล้ว ง่ายเกินไป ซึ่ง วิธีการตามกฎหมายกำหนดนี้ ไม่สามารถทำให้ได้ คนดีมีคุณธรรมได้ บอกไม่ได้ว่า คนๆนั้นมีภูมิหลัง อย่างไร มีทัศนคติ  
วิธีคิด อย่างไร มีความมุ่งมั่น ทุ่มเทหรือไม่ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะคัดสรรคนที่จะทำงานสาธารณะ เพื่อสังคมโดยรวม ที่มีผลกระทบกับผู้คนหมู่มากได้ บ้านเมืองจึงวุ่นวายตกต่ำลง อย่างที่เป็น อย่างที่เห็นกันอยู่ และจะยังคงเป็นอยู่เช่นนี้ไป นับสิบๆ ปี 
บางช่วงเวลาดูเหมือนเรียบร้อย สงบดี  ไม่นานก็จะเกิดกลียุค กินบ้านกินเมือง เผาบ้านเผาเมือง กบฏ ปฏิวัติ  รัฐประหาร  เพราะ วงจรอุบาทว์ ไม่ได้ถูกกำจัด หรือตัดตอนให้หมดไป 

อุปมา เปรียบเสมือน การกรองน้ำ ทุกวันนี้เราใช้แค่ ตะแกรง กรองน้ำ น้ำที่ได้จึงไม่มีคุณภาพที่จะใช้บริโภค ระบบการคัดกรองนักการเมืองจะเป็นระบบที่เราปรับ จูน จากตะแกรงกรองน้ำ เป็นเครื่องกรองน้ำที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เป็นวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญเป็นธรรม
 น้ำที่ผ่านการกรองนี้ก็จะ ใช้ดื่ม กินได้อย่างปลอดภัย มั่นใจ ถึงแม้นอาจจะมีจุลินทรีย์หลง เล็ดลอดเข้ามาได้บ้าง ก็ไม่ถึงขนาดทำให้ท้องร่วงรุนแรงได้ และในที่สุดระบบก็จะกำจัดเชื้อโรคร้ายๆ ที่หลงติดมาออกไปเอง

ระบบการคัดกรองนักการเมืองจึงถือเป็นการสร้างมาตรฐาน ของสถาบันการเมืองใหม่ ซึ่งไม่เคยมีมาตรฐานมาก่อนในโลก  แม้แต่ประเทศตะวันตกใดๆ แต่มีมานานแล้วในบริษัทต่างๆ ของภาคเอกชน  แม้แต่ประเทศไทย ที่เรารู้กัน ในชื่อ การคัดเลือกพนักงานเข้าทำงาน(Recruitment)

ตะแกรง ไม่มีตัวกรอง (Filter) สิ่งปฏิกูล
เครื่องกรองน้ำคุณภาพดี จะมีตัวกรอง (Filter) หลายชั้น ละเอียด ตัวกรองแต่ละชั้นนั้น ถ้าเป็นด้านการเมืองเปรียบได้ว่า เราจะใส่ ตัวแบบวัดทัศนคติ (Attitude) ท่าที (Response) กระบวนทัศน์ (Mindset) ภูมิหลัง (Back ground) วิสัยทัศน์ (Vision) นอกจากนี้ยังต้องมีผลงานในเชิงประจักษ์ ที่บ่งบอกว่า เป็นผู้ที่มีความเสียสละ ทุ่มเท จิตสาธารณะ มีเมตตา มีความรู้คู่คุณธรรมจริง เพื่อตรวจคัดกรองผู้จะอาสาทำงานการเมืองทุกคน

ลีกวนยิว เคยพูดสมัยก่อสร้างชาติสิงคโปร์ ว่า  เราต้องได้คนดี มีคุณธรรมมาก่อน 
แล้ว ให้คนดีเหล่านี้มาสร้างระบบที่ดี เพื่อสังคมโดยรวม

การปฏิรูปประเทศไทยจึงต้องบูรณาการ 3 ส่วนไปพร้อมๆกัน ได้แก่


  1. ระบบการคัดกรองนักการเมือง (Politician filtration) คัดกรองคนดีมีคุณธรรม ไปสร้างระบบที่ดี และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้สร้างความเดือดร้อน วุ่นวายได้
  2. เงินที่เกี่ยวข้องกับการเมือง (Money politics) ตัดวงจรเงิน,ผลประโยชน์ ออกให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเงินรับบริจาคให้พรรคการเมือง ให้นักการเมือง แม้แต่เงินของตัวเอง ด้วย ต้องจำกัดให้น้อยที่สุด ป้องกันการจ้างวานแนวร่วม การซื้อสิทธิ์ ซื้อนโยบาย ซื้อตัวนักการเมือง ในที่สุดซื้อประเทศไทย (ให้จับตา นโยบาย ประธานาธิบดี โอบามา สหรัฐอเมริกา เรื่อง Wall street reform จะลดบทบาทของบรรษัทต่างๆ ที่ทั้งแอบ และไม่แอบหนุนพรรค และนักการเมือง เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แล้วทำให้การเมือง ไม่เป็นการเมืองเพื่อประชาชน ของประชาชน และโดยประชาชน -ประเทศไทยเป็นมานานแล้ว เพราะ อิทธิพลของ ทุนนิยมเสรีกักขฬะ  )
 

3. สื่อสารมวลชน (journalism) กำกับ ดูแลคนสาธารณะที่มีท่าทีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากที่ควร ให้ยึดหลักคุณธรรมความดีงามของสังคม บ้านเมืองจะได้ร่มเย็น

 ในประเทศที่เจริญมาได้เป็นเพราะ เมื่อคน และระบบ หลุด ยังมีสื่อกระแสหลักที่เป็นด่านต่อมา ที่จะกระตุ้น เตือนทั้งรัฐบาล หรือ ผู้ที่ทำงานสาธารณะอันจะสร้างผลกระทบต่อคนหมู่มาก ได้ตระหนักในท่าที พฤติกรรมที่ไม่สง่างาม ผิดธรรมนองคลองธรรม นำฟ้องประชาชน อย่างต่อเนื่อง จริงจัง อย่างกล้าหาญ รับผิดชอบต่อประชาชน บ้านเมือง หรือกระตุ้นเตือนให้รัฐ เจ้าพนักงานของรัฐได้ตระหนักบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัด เสมอภาคกัน  สิ่งเหล่านี้เป็นภาคสังคมที่คอยตรวจสอบ หากยังพบว่า ผู้นั้นๆ ยังคงกระทำพฤติกรรมนั้นอยู่อีก ก็ต้องประณาม ปลุกให้สังคมตื่นตัว ร่วมรับรู้ ร่วมประณาม จนผู้นั้นไม่มีพื้นที่จะยืนอยู่ในสังคมอีกต่อไป