Powered By Blogger

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วิธีคิดของผู้บริหารบ้านเมืองไทย

จาก ลัทธิเอาอย่าง ที่ไม่ควรเอาอย่าง แต่ก็กระทำกันเป็นประจำ ราวกับ ขี้ เยี้ยวไม่ออกก็ต้องรวมตัวกันไปปิดถนน เรียกร้องความสนใจ

การปิดถนนจะไม่เกิดขึ้นเลย การประท้วงที่ยืดเยื้อยาวนาน ไม่ใช่ของสนุก แต่ที่ต้องทำก็เพราะ ความเป็นธรรมในสังคมหายไป นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาใจใส่ ความทุกข์ร้อนของประชาชน ซึ่งเวลา หาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้ง ยกมือไหว้ แม้กระทั่งเงาสุนัข เพราคิดว่าเป็นคน นี่คือรูปแบบของนักเลือกตั้ง ที่มีแต่รูปแบบ แต่เนื้อหาไม่ใช่ พูดแบบชาวบ้านๆได้ว่า "ไป..ไป .. ถึงเวลาเลือกตั้งแล้วว ... พวกมึงๆๆ คุณๆๆ ทั้งหลาย ไปเลือกพวกกูนะ" เมื่อลงคะแนนเสร็จ ก็ได้ยินใหม่ว่า ..." พวกมึงๆ คุณๆ อยู่นิ่งๆ เฉยๆนะ หมดหน้าที่ละ ต่อไปเป็นหน้าที่พวกกูเอง พวกมึงไม่เกี่ยวแล้ว"

ผู้บริหารบ้านเมืองก็คิดแปลก กล่าวคือ แทนที่จะ เข้าจัดการสลายกลุ่มผู้ประท้วง โดยละม่อม ได้มาตรฐาน ด้วยความเมตตา ด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน เพื่อไม่ให้สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายแก่ผู้อื่น ซื่งเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานอยู่แล้ว กลับนิ่งเฉย หรือทำพอเป็นพิธี จึงไร้ผล ยังคงมีผู้ประท้วงสร้างความเดือดร้อนแก่คนส่วนใหญ่ต่อไป

เพราะไม่รู้จักหน้าที่ ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ กลับไปใช้อำนาจศาลสั่งให้สลายการชุมชุม เมื่อศาลสั่งให้สลาย แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายการชุมนุมล่ะ(ข่าว) จะทำอย่างไร เช่นการชุมนุมประท้วงของชาวบางคล้าขณะนี้(ข่าว) เพราะการชุมนุมประท้วงที่ทำๆกันอยู่โดยส่วนใหญ่ ก็ผิดกฏหมายอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐ ยังไร้ปัญญาจัดการ เป็นความอ่อนด้อย ด้วยวิธีคิด ที่ยึดถือแต่ผู้มีอำนาจ หรือตัวบุคคล แต่ไม่ได้ยึดถือตัวหนังสือ หรือกฏหมาย ผลก็เลยได้เห็น เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีแต่ความวุ่นวาย เพราะ ใครคิดจะทำอะไรก็ได้ กฏหมายไม่เป็นที่เชื่อถือ เจ้าหน้าที่รัฐก็ลูบหน้าปะจมูก คนอื่นๆที่เป็นส่วนใหญ่ก็เดือดร้อนไป สิ่งเหล่านี้ไปรอนอำนาจการแข่งขันของประเทศโดยรวม

ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว โครงการต่างๆที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ตามกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 57 ปี 2550 ต้องผ่านความเห็นชอบของชุมชนอยู่แล้ว เพราะมีส่วนได้เสีย หากชุมชนไม่เห็นชอบด้วยก็ทำไม่ได้

ความวุ่นวายในบ้านเมืองไทยจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนับสิบๆปี หากเราไม่นำ ระบบการคัดกรองนักการเมือง มาใช้ สังคมไทยก็จะค่อยกลายเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่อาศัย เหมือนก่อน ก็จะซวยกันหมดทุกคน ยกเว้นนักการเมือง

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นำลำใยอบแห้งที่มีปัญหาไปทำปุ๋ยชีวภาพ


เห็นด้วยอย่างยิ่ง จากข้อเสนอแนะของ ส.ว. สรรหา นิลวรรณ เพชระบูรณิน (ข่าว) เพราะนอกจากไม่ต้องผลาญงบ ถึง 90 ล้านบาทแล้ว ยังได้ประโยชน์ต่อจากปุ๋ยชีวภาพ

ครม.โดยเฉพาะ ท่านนายก อภิสิทธิ์ น่าจะมีปัญญามากกว่านี้ที่จะรักษาผลประโยชน์จากภาษีอากรของประชาชน อย่ามักง่าย และมีผลประโยชน์แอบแฝง จากงบ เผาลำใยอบแห้ง 90 ล้านบาท และอื่นๆ

คนคิดแบบนี้น่ากลัวจริงๆ ไม่เหมาะจะทำงานสาธารณะเลย ..ผ่าซี
(นาง นิลวรรณ เพชระบูรณิน 58 ปี ปริญญาเอก ผู้ประกอบการสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์)

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตัวอะไรเอ่ย..?? กินบ้านกินเมือง

นายก อภิสิทธิ์ แถลงผลมติ ครม.(ข่าว) เรื่องใช้เงิน ถึง 90 ล้านบาทกำจัด ทำลาย ลำใยอบแห้ง 70,000 ตัน ที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อคราวอดีตนายกทักษิณ ปี 2545 (ข่าว) ทำให้ภาษีประชาชนเสียหายไป3,000 กว่าล้านบาท น่าเจ็บใจจริงๆ เราเลือกคนโกงบ้านโกงเมืองไปบริหารประเทศ และคนเหล่านี้ก็ยังคงเวียนวนอยู่กับแวดวงการเมือง แล้วเราจะยังคงให้โอกาสคนเหล่านี้ อยู่ในแวดวงการเมืองได้อยู่หรือ
หากเรายังไม่มีระบบการคัดกรองนักการเมือง ก็ ยังคงมีเปรต พวกนี้อยู่ร่ำไป
เมื่อวานรัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวเป็นวันแรก(วีดีโอข่าว) แต่ด้วยความไม่พร้อม ด้วยความห่วยแตก ด้วยความไม่เอาใจใส่ของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทางโรงสีไม่สามารถรับจำนำข้าวจากเกษตรกรได้ เนื่องจาก ทางโรงสียังไม่ได้รับแจ้งจำนวนโควต้า ที่แต่ละโรงสีจะรับผิดชอบ จึงทำให้ชาวนา ที่แห่ไปจำนำไม่สามารถทำได้ ก็ได้แต่ขายข้าวให้โรงสีในราคาต่ำ กว่าราคารับจำนำ เจ็บปวดจริงๆ เหมือนเด็กเล่นขายของ ไม่เห็นมีหน้าไหนออกมาขอโทษชาวนา
หากนักการเมืองยังคิดแบบเดิมๆ ทัศนคติเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ และไม่มีความพร้อม จ้องแสวงหา อย่าหวังว่าจะทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิต มีการศึกษาที่ดีได้

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

The End Of Newspapers

ยุกตกต่ำที่สุดของสื่อสิ่งพิมพ์ อย่างหนังสือพิมพ์ ในสหรัฐอเมริกา มาถึงแล้ว โดยเริ่ม ตกต่ำตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งมียอดรายได้ค่าโฆษณาสูงสุดเกือบ 20 พันล้านดอลลาร์ นับจนกระทั่งสิ้นไตรมาสที่1 ปี2009 ค่าโฆษณาหายไปแล้ว 9.6 พันล้านดอลลาร์ เหลือ เพียง 10 พันล้านดอลลาร์


ส่วนสาเหตุแห่งความตกต่ำนั้น มาจาก

1. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เสพสื่อด้านออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ผู้โฆษณาจึงให้น้ำหนักการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์น้อยลง รายได้จึงน้อยตามไป

2. มีเว็บไซต์ที่ให้บริการลงโฆษณาฟรีๆ อย่าง craigslist และ monster ใครๆก็ชอบของฟรีนี่นา

3. ความตกต่ำทางด้านเศรษฐกิจซ้ำเติม จากปัญหาด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพ รุกลามสู่ตลาดการเงิน จนเป็นปัญหาทั่วโลกอยู่ขณะนี้ หนังสือพิมพ์ก็หนีไม่พ้นจากผลกระทบนี้














เทียบเคียงระหว่างไตรมาสที่1ปี 2008 กับ 2009 รายได้ค่าโฆษณาของหนังสือพิมพ์หดหายไป 30%

มีรายได้ค่าโฆษณาจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ชดเชยกลับมา 3.2 พันล้านดอลลาร์
แต่อย่างไรก็ตาม สื่อสิ่งพิมพ์กำลังเผชิญความท้าทายด้าน รูปแบบธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หากจะว่ากันให้ถึงต้นตออีกชิ้นนึงที่ ทำให้อุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา ตกต่ำลง เป็นเพราะ การรวบรวมข่าวโดยโปรแกรม ที่สามารถรวบรวมข่าวสารทุกชนิดทุกสำนักทั่วโลก แล้วฟีด(Feed) ให้กับสมาชิกฟรีๆผ่านอีเมล โดยผู้เป็นสมาชิกไม่จำเป็นต้องเข้าไปทุกๆเว็บไซต์ วิธีการนี้ มีทั้ง GoogleNews และYahooNews เป็นเจ้าตลาด มีข่าวทุกชนิดทุกประเภท แต่แถบไม่มีต้นทุน ต่างจาก หนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่มีต้นทุนสุงมาก ถึง 7-80% ของยอดขายทีเดียว แม้แต่เจ้าพ่อสื่อโลกอย่าง Rupert Murdoch ยังยุให้สมาคมหนังสือพิมพ์เป็นกบฏต่อ GoogleNews
การร่วมือกันระหว่างสำนักข่าว กับ Google ก็ดี Yahoo ก็ดี ในการพิ่งพากัน Google Yahoo ได้ข่าวป้อนให้สมาชิก ส่วนหนังสือพิมพ์ต่างๆก็ได้สมาชิกที่อ่านข่าว เพิ่มเติม เพิ่มที่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ แต่รายได้จากค่าโฆษณาลดลงในด้านออฟไลน์ อันเป็นหนามที่คอยทิ่มตำ หนังสือพิมพ์ อยู่เวลานี้

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บทบาทสื่อกระแสหลัก กับการเมืองไทย

ผมไม่รู้จะเปรียบเทียบนักการเมืองที่จ้องจะโกงกิน ภาษีอากรของผม และของคนอื่นว่าอย่างไรดี อย่างกรณีที่เป็นข่าวอยู่เวลานี้ เรื่องจัดซื้อจัดจ้างรถเมล์ 4,000 คัน ด้วยท่าที ทัศนคติ วิธีคิด วิธีการต่างๆ ของคนจะโกงกิน ก็บ่งบอกให้รู้แล้วว่า คนจำพวกนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งให้อยู่ในแวดวงการเมือง หรือในส่วนที่อาจทำความเสียหายต่อส่วนรวมได้ แต่ก็เห็นคนจำพวกนี้อยู่เต็มสภาผู้แทนราษฏร... นี่มันอะไรกัน
ควรอย่างยิ่งที่สื่อกระแสหลักต้องกล้าหาญมากพอที่จะ ตีแผ่ข้อมูล ข้อเท็จจริง เป็นต้นว่า สัญญาต่างๆที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทำกันเอาไว้ หรือเตรียมจะทำไว้ หรือข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่ไปตกปากรับคำไว้ จะว่าไปแล้วเท่าที่มีข้อมุลอยู่ก็น่าจะเพียงพอที่สื่อกระแสหลักจะประสานเป็นหนึ่งเดียว ขับไล่คนจำพวกนี้ให้ออกไปเสียให้พ้นๆ วงการเมือง
แค่ซื้อของแพง อย่าว่าแต่มากมายขนาดนี้เลย แค่แพงกว่าเล็กน้อย ก็ไม่สมควรแล้ว ควรจะจัดซื้อจัดจ้างให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด นั่นคือได้ราคาต่ำ และมีคุณภาพ ที่สุดเพื่อประโยชน์ขององค์กร
แต่สื่อกระแสหลักก็ขาดความกล้าหาญที่จะทำให้นักการเมืองเกรงกลัว จนนักการเมืองไร้ยางอาย ขับเคี้ยว กันจะทำโครงการให้ได้ ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แล้วก็จะเป็นเยี่ยงอย่างอยู่ร่ำไป รุ่นแล้วรุ่นเล่า โครงการแล้วโครงการเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า
ท่านนายก อภิสิทธิ์ ก็ไม่กล้าหาญ ที่จะยับยั้ง กลัวอำนาจหล่นหาย ด้วยระบบแบบนี้ นักการเมืองแบบนี้ วิธีคิดแบบนี้ ทัศนคติแบบนี้ จึงกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ แน่ๆ
ก่อนหน้านี้รัฐบาลนายก สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ใช้ภาษีของเรา รับจำนำข้าว 14,000 บาทต่อตัน เกษตรกรรับไป 12,000 บาทต่อตัน อีก 2000 บาทต่อตัน นักการเมืองพ่อค้า ข้าราชการไปแบ่งกัน อันนี้ม้วนที่ 1 ส่วนม้วนที่ 2 ก็ขายข้าวขาดทุน คือขายต่ำกว่า 14,000 บาทต่อตัน ย่อยยับ.. ฉิบหาย
รัฐบาลนายกสมชายอีก เช่นกัน รัฐมนตรีคนเดิมเลย จำนำข้าวโพด ได้ข้าวโพดคุณภาพ ต่ำกว่า บางตะเกียง เป็นล้านตัน ขายก็ขาดทุนอีก ฉิบหายอีก นี่มันอะไรกันวะ คนรึป่าว?? แล้วเรายังปล่อยให้คนจำพวกนี้บริหารประเทศอีกหรือ ?? ต้องขับไล่ออกนอกประเทศไปเลย
ถ้าเรายังไม่คิดจะใช้ คัดคนที่ไม่พร้อม ที่ไม่เสียสละ ที่จ้องจะเข้ามาแสวงหา อย่าให้ได้มีโอกาสทำงานสาธารณะ ก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้ คนเหล่านี้ก็ครองบ้านครองเมือง แล้วก็กินบ้านกินเมือง แล้วก็ขี้ใส่หลังคาบ้าน