Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิกฤตสร้างวีรบุรุษหรือ ธาตุแท้ของคน??

นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกผู้ว่า กทม ให้ข่าวว่า กทมมีระบบแม่น้ำ ลำคลอง คู ต่างๆ 1,000 กว่าสาย ความยาวประมาณ 2,000 กม. มีระบบท่อระบายน้ำยาว ประมาณ 6,000 กม.

สิ่งที่ทั้งผู้ว่า กทม สุขุมพันธ์ บริพัตร และ นายกปู(ปัญญา)นิ่ม ต้องคิดและทำตั้งแต่แน่ใจแล้วว่า มวลน้ำมหาศาลนี้สร้างความเสียหายมากแน่นอน และจะระบายลงทะเลให้รวดเร็ว ได้อย่างไร หรือแม้กระทั่ง ณ เวลานี้ก็ตาม เช่น การขุดลอกแม่น้ำ ลำคลอง ต่างๆทั้งใน กทม. และ บริเวณใกล้เคียง ที่เป็นช่องทางระบายน้ำลงทะเลอย่างมีนัยะสำคัญ รวม 100 กว่าสาย ที่เป็นอุปสรรค มานาน ทั้งตื้นเขิน ทั้งมีขยะสิ่งปฏิกูล ต่างๆขวางทางน้ำอยู่ ทุกสาย ทำให้น้ำไหล ระบายได้คล่องๆ แต่.... เปล่าเลย ละเลย ไม่สนใจใยดี ต่อสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง หากไม่จัดการทำในเวลานี้ แล้วในอนาคตที่คิดจะวางแม่แบบในการจัดการปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนที่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนหลายแสนล้านบาทนั้น  ไม่ต้องอาศัยแม่น้ำ ลำคลอง ทั้ง 100 กว่าสายนี้เป็นช่องทางระบายน้ำลงทะเลหรืออย่างไร? ไร้วิสัยทัศน์อย่างสิ้นเชิงจริงๆ






 ครั้งหนึี่งผู้ว่า สุขุมพันธ์ บริพัตร พูดว่า ระบบการระบายน้ำของ กทม นั้น มีขีดความสามารถรับได้แค่ฝนตกน้ำท่วม เท่านั้น ไม่สามารถรับมือกับมวลน้ำมหาศาลนี้ได้ หากคิดอย่างผู้ว่า สุขุมพันธ์ คิดแค่นั้นก็ทำได้ตามนั้น ไม่ต้องคิดอย่างอื่นอีก จบข่าว





แต่ในความเป็นนักจัดการ นักบริหารที่ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับมวลน้ำมหาศาลนี้ คิดแค่นั้นไม่ได้แน่ เช่น...

 1.  ต้องคำนวณโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์(Mathematical algorithm) พื้นที่ระบายน้ำทั้งหมดของช่องทางระบายน้ำต่างๆ ทั้ง100 กว่าสายนี้ หากขุดลอก จัดการสิ่งปฏิกูลต่างๆ แล้ว สามารถรองรับน้ำได้เท่าใด เป็นต้นว่า ได้สัก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันได้หรือไม่ ? หากไม่ได้จริงๆแล้วได้เท่าใด?เพื่อจะได้นำแบบจำลองนี้ ไปเป็นแม่แบบปฏิบัติจริง เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่นลดระยะเวลาน้ำที่ขังอยู่ ลดความสูญเสีย ทุกฟันเฟืองในระบบจะได้หมุนได้ตามปรกติ ความเสียหายจากกิจกรรมทางเศาษฐกิจ การดำเนินชีวิตของผู้ประสบเคราะห์กรรม จะได้ทุเลาเบาบางลง กว่าที่เป็นอยู่
  2.  เมื่อขุดลอกแม่น้ำ ลำคลอง ต่างๆแล้ว ติดตั้งเครื่องสูบน้ำให้สอดคล้องกับการระบบน้ำของแม่น้ำ ลำคลอง ที่ขุดลอกไว้ และให้ระบายน้ำลงทะเลให้ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นต้น

การทะเลาะ ความขัดแย้งเหนือแนวกระสอบทรายยักษ์(Big sand bag wall) ที่เกิดขึ้น เกิดจาก..
1.  ทั้ง ศปภ. และ กทม. ไม่สามารถระบายน้ำได้เร็ว กว่าที่ควรจะเป็น
2.  กระสอบทรายยักษ์(Big sand bag wall) ยังไปขวางทางเดินน้ำ ทำให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหนือแนว
     คันกั้นต้องเสียสละโดยไร้การเหลียวแล ไร้การช่วยเหลือ เยียวยา อย่างที่ควรจะเป็น อย่างทั่วถึง
3. ไร้คำตอบที่แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ น้ำที่ท่วมขังอยู่มากมายนี้จะลดลงอย่างมีนัยะ ผู้เดือดร้อนแสนสาหัสทั้ง
    หลายจะได้กลับไปดำเนินชีวิตได้ดั่งปรกติ
4.  เมื่อความอดทน อดกลั้นถึงช่วงเวลาหนึ่ง ไม่มีอะไรดีขึ้น ยังจมอยู่กับน้ำเน่าๆ เป็นเดือนๆ บอกก็แล้ว ร้อง เรียนก็แล้ว ไร้คนสนใจแ้ก้ปัญหา ความอดทนก็หมด ขาดสะบั้นลง
5. นอกจากการทำงานอย่างไม่มีเอกภาพ ไร้แผนงานที่เป็นระบบแล้ว ยังดำเนินนโยบายหน้าไหว้หลังหลอก(Hypocritical Policy) ไร้ปัญญาแล้วยังไร้ความรับผิดชอบอีกต่างหาก
6. หากบรรดาเหล่านักจิตอาสาเรือนแสนที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือ ผู้ประสบเคราะห์กรรม แล้วละก็ นายก
    ปู(ป้ญญา)นิ่ม และ ผู้ว่า กทม สุขุมพันธ์ บริพัตร ถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆแน่นอน
7.  ที่จริงแล้ว ข้อมุลต่างๆ วิธีการต่างๆ ในการแก้ปัญหามวลน้ำมหาศาลนี้ ไม่มีใครมีมากมาย หรือทัน
     สมัย จากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ มากเท่ารัฐบาล ศปภ. อีกแล้วในโลกนี้ ในฐานะผู้บริหารในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆนั้น ดีกว่ามีตัวเลือกของข้อมุลน้อยๆเป็นแน่ แต่ อนิจา รัฐบาล นายกปู(ปัญญา)นิ่ม กลับไร้สมองในการใช้ข้อมุลให้ รวดเร็ว ทันกาล เกิดประสิทธิผลสูงสุด

หากทั้งผู้ว่า กทม. สุขุมพันธ์ บริพัตร และ นายกปู(ปัญญา)นิ่ม จะมีความรับผิดชอบหลงเหลืออยู่บ้างก็คือ "ลาออก"ไปซะ การดื้อด้านอยู่ในตำแหน่ง รั้งแต่จะสร้างความวิบัติให้แก่ประชาชนไม่จบสิ้น ซวยซ้ำซากจริงๆ คนไทย นี่คือผลพวงของทั้งระบบและคนเดิมๆ ซึ่งไร้มาตรฐาน มีแต่นักเสี่ยงโชคทางการเมือง เราจึงต้องผลักดันให้การเมืองมีมาตรฐานเสียก่อน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น