เป็นที่รู้กันดีว่า หมอดู กับความเชื่อของสังคมไทยนั้น แยกกันออกได้ยากยิ่ง จึงเป็นเหตุให้คนที่อุปโลกน์เป็นหมอดู ไม่ว่าจะ แขนงไหน ต่างก็ พยายามเขยิบตัวเองขึ้นมากินบนพื้นที่สื่อสาธารณะมากขึ้น แต่ที่มากจนรับไม่ได้ก็ พวก"หมอฟันธง" กับ "หมอคอนเฟิร์ม" หรือหมอดูชื่อกฤษฎ์ ที่ฟันน้ำนมเพิ่งหมดจากปาก ทำตัวเป็นผู้วิเศษ ชี้เป็นชี้ตายให้คนโน่นคนนี้ เมื่อทำนายผิด ก็ เลี่ยงบาลีว่า ก็ดูตามพื้นดวง ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร พันหนจะทำนายถูกสักหน หรือเปล่าก็ยากจะวัดได้ เมื่อทำนายผิด ทำนายไม่แม่นก็ไม่มีใครไปต่อว่า ฟ้องร้อง เรียกร้องทรัพย์สิน เงินทองคืน ด้วยนะ ถือว่า "โง่เอง" ที่เชื่อคนง่าย ไม่มีวิจารณญาณ ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่เหมือนได้รับอภิสิทธิ์ จากคนทั่วไป ที่ทำนายผิดพลาด(เป็นส่วนใหญ่)แต่ผู้คนไม่ถือโทษโกรธเคือง
ด้วยความทรนงตน ของหมอดู และนักฉวยโอกาส(ผมไม่เรียกว่านักการตลาด เพราะ ไม่สร้างสรรค์ทำความเดือนร้อนให้ผู้อื่นเสมอๆ) และผู้ทำหน้าที่สื่อสาธารณะเอง ต่างได้รับผลประโยชน์บนความเดือนร้อนของคนอื่น(กรณีทำนายนักร้องดัง ลิเดีย ท้อง หรืออีกหลายๆกรณี) ร่วมมือกัน ส่งเสริมกัน แพร่ภาพ ข่าว ความเคลื่อนไหวของหมอดูหรือ แม้แต่บางรายการนำไปออกอากาศเป็น ทอล์กโชว์ ล้วนยิ่งส่งเสริมความดัง เด่น สร้างกระแส ให้เป็นที่คึกครืน ได้อย่างรวดเร็ว ลำพังหมอดูจะทำเอง หากินเองโดยไม่มีผู้ทำหน้าที่สื่อสาธารณะช่วยส่งให้ ก้ยังไม่เท่าไหร่นัก แม้จะไร้จิตสำนึกอยู่มาก
กรณีที่นักร้องคนเก่งฟ้องร้อง ดำเนินคดีแก่หมอดูนั้น เป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ สมควรอย่างยิ่ง และอย่ายินยอม ยอมความนะครับ ศาลท่านจะได้ตัดสินเป็นปทัสถาน ว่า คนที่อุปโลกน์ตัวเอง(ไม่รู้มีวุฒิบัตรอะไรบ้างหรือไม่ ในด้านหมอดู) ว่าเป็นหมอดูนั้น ซึ่งถือว่าเป็นผู้ประกอบอาชีพ ขายบริการ เมื่อบริการที่ขายนั้น ไม่ได้มาตรฐานแล้วทำให้ผู้รับบริการเสียหาย(หรือไม่ยินยอมรับบริการด้วยซ้ำ แต่ถือวิสาสะ "ขี่ความดัง" ของคนดัง เพื่อส่งตัวเองให้ดัง) ก็สมควรต้องรับชดใช้ตามกฎหมายใหม่ พ.ร.บ ความรับผิดอันเกิดจากสินค้า หรือบริการที่ไม่ปลอดภัย มาประยุกต์ใช้เรียกร้องค่าทดแทนด้านจิตใจ ได้เพิ่มมากขึ้น กว่าที่เคยเป็นมา
ส่วนที่หมอดูฟ้องกลับนั้น เป็นการฟ้องแก้เกี้ยว เพื่อบีบให้ผู้เสียหายกังวลใจ แล้วเป็นหนทางจะได้เจรจาประนีประนอม ตามที่ตัวเองต้องการ เรียกว่า เกทับ(แต่หน้าไพ่ที่หงายอยู่นั้น ห่วยแตก)
สรุปว่า สื่อกระแสหลัก ทำหน้าที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง มอมเมา ประชาชนไม่ได้อะไรเลยนอกจาก สร้างกระแส ความเชื่อลมๆแล้งๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจาก สื่อกระแสหลักเก่งแต่สร้างแค่การรับรู้(Perception)มากกว่า ค้นหาความจริง(Fact findings) ฉาบฉวยมากๆ และก็ถึงเวลาที่สื่อกระแสหลักกำลังเผชิญกับความยากลำบากในรูปแบบการดำเนินธุรกิจ อยู่ณ ขณะนี้ อีกไม่เกิน10 ปีนับจากนี้(ถ้าเป็นสหรัฐอเมริกา ไม่เกิน 5 ปี) สื่อพวกสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ต่างๆ จะหาย ไปจากแผงหนังสือ ไม่น้อยกว่า50%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น