Powered By Blogger

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

The Power Of World Wide Web 1

Sir Timothy J. Berners-Lee เป็นผู้ให้กำเนิด world wide web เมื่อปี 1989 (จะครบรอบ 20 ปี ที่มี world wide web ในวันที่ 13 มีนาคม นี้) และปี 1990 Tim เริ่มเขียน เวบเพจ ส่งผ่านทางอินเตอร์เนตเป็นครั้งแรก
โดยก่อนหน้านี้มีวิวัฒน์ของเทคโยโลยีด้านคอมพิวเตอร์พีซี เป็นลำดับดังนี้
ปี 1973 Bob Metcalfe ได้สร้าง อีเทอร์เนต(Ethernet) ซึ่ง อีเทอร์เนตเปรียบเสมือนกาวที่ใช้เชื่อมระบบเครื่อข่ายท้องถิ่น หรือ LAN(Local Area Network)
ปี 1975 เริ่มมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC) ที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมวางขายในตลาดสหรัฐอเมริกา โดย บริษัท Apple
(apple I)นำโดย Steve Jobs และบริษัทอื่นๆ วางตลาดตามมา
ปี 1976 Wang Laboratories ได้เปิดตัว ระบบ word Processing เป็นของตนเอง ซึ่งนำคอมพิวเตอร์มาสู่โต๊ะของพนักงาน ในสำนักงาน
ปี 1978 โปรแกรม สเปรทชีท (spreadsheet) โปรแกรมแรกที่ชื่อ Visicalc ออกวางจำหน่าย และปีต่อมาก็ตามด้วย wordstar program ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการเอกสาร (word processor) โปรแกรมแรก บนพีซี และ เกิดระบบฐานข้อมูลแบบความสัมพันนธ์ (Relational Database System) ของ Oracle
ปี 1982 มีการเปิดตัว TCP/IP (Transmission Control Potocol/Internet Potocol) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารบนเครื่อข่าย และเป็นการปูทาง ไปสู่โลกอินเตอร์เนตสมัยใหม่
ปี 1984 เป็นปีที่เปิดตัวเครื่อง Macintosh ซึ่งมีส่วนของการมีปฎิสัมพันธ์กับผู้ใช้ด้วยภาพ (Graphical Interface) ที่ใช้ง่าย นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมี Laser Printer ที่ใช้กับ เดสท์ทอป เป็นครั้งแรก อีกด้วย
ปี 1989 เริ่มมีการส่งจดหมายอีเลกทรอนิกส์(E-mail) เป้นครั้งแรก

เมื่อสิ้นปี 2008 มีจำนวนเวบไซต์บนโลกอินเตอร์เนต ประมาณ 226 ล้านเว็บไซต์(according to netcraft )มีเวบไซต์ที่สามารถดำเนินการได้อยู่(live websites or active websites) ประมาณ 75.2 ล้านเวบไซต์ เป็นเวบไซต์ ที่เป็นดอดคอม ประมาณ 74% มีเวบเพจ (หน้า)รวมกันประมาณ 45,000 ล้านเวบเพจ เฉพาะเวบบล๊อก(weblog)(define) อย่างเดียวมีคนเขียนบล๊อกใหม่ ถึง 175,000 บล๊อกต่อวัน

เนื่องจากความเป็นเครื่องข่ายอินเตอร์เนตที่ให้บริการฟรี จึงเป็นตัวผลักดันหลัก ให้เกิดการหลอมรวมเทคโนโลยี ทั้งด้าน hardware และ software ที่มีการคิดค้นสิ่งแปลกใหม่(Disruptive Technology) อยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบด้านการแข่งขันในเชิงธุรกิจ จนในที่สุดก็จะถึงจุดอิ่มตัวทางด้านเทคโนโลยีที่มีความเป็นเจ้าของ(Proprietary Technology) เนื่องจาก economy of scale ในยุกต์อุตสาหกรรม ไปสู่ economy of speed ที่ต้องเร็ว ทันเวลา และ ต้นทุนที่ถูกลง ตามกฎของ Moore's Law และ แพร่กระจาย ออกไปอย่างกว้างขวาง เกิดการลอกเลียนแบบ หรือแม้แต่ ขโมย ละเมิดลิขสิทธิ์ อย่าง Peer-to-Peer(define) ตั้งแต่บริษัท Napster (จนในที่สุดถูกฟ้องล้มละลายโดย บริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง) เมื่อ Napster ล้มหายไป ก็เกิด กองโจรใหม่ๆ ที่ปราบปรามได้ยากยิ่งขึ้น เพราะไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของ สำนักงานอยู่ที่ไหน อย่าง Kazaa/ Kazaa Lite/Emule ตามลำดับ จนสร้างความเสียให้ให้แก่วงการอุตสาหกรรมบันเทิง-เพลง ภาพยนตร์ มากถึง 25%(Book--THE STARFISH AND THE SPIDER -THE UNSTOPPABLE POWER OF LEADERLESS ORGANIZATIONS By Ori Brafman and Rod Backstrom) ซึ่งเมื่อก่อนตอนต้น ศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมเหล่านี้ผูกขาด อยู่ในมือของ Big4 (SONY BMG MUSIC,EMI, UNIVERSAL MUSIC AND WANNER BROTHERS)
เทคโนโลยีต่างๆ โดยอาศัย world wide web ที่มีพลานุภาพ เก็บบันทึกได้อย่างลื่นไหลง่ายๆ จนในที่สุด เทคโนโลยีต่างๆ ที่อวดกันว่า สำคัญ ได้เปรียบคู่แข่ง เป็นเทคโนโลยีของตัวเอง(Proprietary Technology) ก็จะกลายเป็น โครงสร้างเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน(CommodityTechnology) ที่ใครก็สามารถ ใช้ได้ เข้าถึงได้ และที่สำคัญ มีราคาถูกลงอย่างมากจนเป็นแบบ Internet Free-Based Technology และ Internet-Based Applications and Services Technology กล่าวคือสามารถใช้ได้โดยเสียค่าธรรมเนียมการใช้งาน หรือ อาจใช้ได้ฟรีบนอินเตอร์เนต เหมือนอย่าง การสร้างทางรถไฟที่ประเทศอังกฤษ สมัย ปี 1800 ยุกต์เริ่มต้นอุตสาหกรรม หรือ กระแสไฟฟ้า โทรศัพท์ ประปา ใครเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้ก่อน สะดวกกว่าก็ได้เปรียบ แต่หลังจาก โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีมากพอ ราคาค่าขนส่ง ค่าโดยสารถูกลง ความได้เปรียบที่เคยมีก็หมดไป หรืออย่าง Google ให้ใช้บริการ word and Spreadsheet และอื่นๆ ได้ฟรี บนอินเตอร์เนต ซึ่งทำให้ Microsoft Office ของ บริษัท Microsoft ถูกท้าทายในด้านยอดขาย รายได้อย่างสำคัญ
ต่อไปนี้ก็ถึงคราวของเทคโนโลยี ด้วยที่มีองค์ความรู้อยู่เต็มไปหมด แต่กระจัดกระจายกันอยู่ คนละทิศคนละทาง แต่ในที่สุดก็สามารถ จัดการจนสามารถหาได้ง่าย เข้าถึงได้ง่ายๆ ตรงตามความต้องการ มากขึ้น

เรามาดูกันซิว่า world wide web จะเข้ามามิอิทธิพลต่อมนุษย์เราอย่างมากมายมหาศาลได้อย่างไร
It was still at experimental stage for web technology and mobile platform to be
connected and converged to serve up consumers experiences.

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่บนโลกอินเตอร์เนตอยู่ขณะนี้ เป็นเพียงแค่เพิ่งเริ่มต้นด้านเว็บเทคโนโลยี(Web Technology)เท่านั้นเอง นั่นคือ เทคโนโลยีต่างๆ มุ่งสู่ world wide web อย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง ทั้งด้าน hardware and software ที่มีความสามารถทำงานได้อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน เช่นการประวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Clound Computing) อันหมายถึงระบบการประมวลผล ที่สามารถยืดหยุ่นได้(scalable) ตามความต้องการของผู้ใช้ ใช้มากจ่ายมาก ใช้น้อยจ่ายน้อย หรือ เรียกว่า จ่ายตามที่ใช้จริง(pay as you go) ที่สามารถ ประมวลผลของข้อมูลได้คราวละมากๆ การเก็บรักษาข้อมูล บริหารจัดการข้อมูลต่างๆ จำนานมากมายมหาศาลนับร้อยล้านTransections ต่อชั่วโมงได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ แม่นยำ เชื่อถือได้ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน แม้จะต่าง Platform กัน โดยมีหน่วยงานกลางคอยกำกับดูแล ด้านเทคโนโลยี ให้ไปในทิศทางเดียวกัน และสอดประสานกัน บนโครงสร้างพื้นฐานเดียวกัน เวบไซต์ต่างๆ มีการทำงานแทบไม่มีวันล่ม ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปี น่าจะได้เห็น ความเพียบพร้อมทุกด้านไปพร้อมๆกัน การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ นี้ ถือได้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

การสืบค้นด้วย Search Engine ทุกวันนี้ เป็นด่านแรกของโลกอินเตอร์เน็ต ที่ผู้คนที่ออนไลน์ต้องใช้เพื่อค้นหาสิ่งที่ตนเองต้องการ
องค์ความรู้ต่างๆ บนโลกนี้มีอยู่อย่างมากมาย ทั่วไปหมด ตั้งแต่ภูมิปัญญาชาวบ้าน ไปจนถึงงานวิจัยต่างๆ ทั้งแบบ มีเจ้าของ(Proprietary property) และที่เป็นสาธารณะ(Public Property)แต่ ขาดเครื่องไม้เครื่องมือบริหารจัดการ หรือค้นหาเพื่อ ที่จะนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การค้นหาอะไรสักอย่างบนอินเตอร์เนต โดยมี ตัวค้นหา(Search Engine)ที่ฉลาดมากๆ ที่สามารถรู้ได้ว่าผู้ค้นหาต้องการอะไร ได้อย่างตรงจุด ตรงประเด็น ตรงใจผู้ค้นหา เช่น ต้องการค้นหาคำว่า "ดอกกุหลาบ" ตัวค้นหาจะรู้ได้เลยว่า ผู้ค้น ต้องการดอกกุลาบสีขาวดอกใหญ่ดอกเดียว ไม่ใช่ ทั้งช่อ หรือ ดอกกุหลาบสีอื่นๆ ซึ่งการค้นหา อาจไม่ใช่พิมพ์ตัวหนังสือ(Text Keywords) อย่างปัจจุบันอย่างเดียว แต่เป็น ระบบที่คิดเหมือนมนุษย์ (Systems that think like humans ) เสียงพูดของผู้ค้นหา พูดผ่านsearch Engine ที่สามารถวิเคราะห์เสียง คำอธิบายของผู้ค้นหาโดยใช้เทคโนโลยี การรู้จำคำพูด (Speech recognition ) วิธี contextual computing ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ ที่มีปฎิสัมพันธ์กับตัวหนังสือ หรืออื่นๆ บนหน้าเว็บเพจ องค์ความรู้เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่รวมเรียกว่า ซอฟท์แวร์อัจฉริยะ(Intelligent Software)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น