คุณทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ขณะนี้เปรียบเสมือนปลาที่หลงไปกินอาหารที่มีอยู่มากมายที่ปลอดภัย แต่ไปเลือกกินเหยื่อที่มีเบ็ดเกี่ยวไว้เอง จะด้วยความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ ความเคยตัวเป็นนิสัย จึงถูกเบ็ดเกี่ยวปาก ยากที่จะปลดตระขอเบ็ดนั้นได้ กรณีคุณหญิงพจมาน ซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูฯ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คุณทักษิณ ไม่ทราบ ว่าผิดกฎหมาย ปปช. แน่ แต่ก็ ชะล่าใจ(ด้วยอุปนิสัยของพ่อค้า แม่ค้า) ถึงแม้ไม่ผิดก็ไม่สมควรเสนอตัวซื้อ ด้วยมารยาท หรือ สปิริต ของผู้นำ ซ้ำร้าย เมื่อประมูลซื้อได้ทรัพย์แล้ว ยังไปแก้ไขผังเมืองรวมใ้ห้ตัวเองได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก(น่าจะเป็นการผลักดันจากคุณหญิงพจมานให้ คุณทักษิณกระทำ ลำพังคุณทักษิณ ผมไม่คิดว่าจะทำเรื่องนี้ โจ่งแจ้งเกินไป) อันเป็นนิสัยเห็นแก่ได้ ซึ่งผู้นำไม่สมควรกระทำ
หรือกรณีขายหุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่(Holding company) ถือหุ้นบริษัทอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อันนี้ก็มีการวางหมาก วางแผนไว้เป็นแรมปี ไม่ต่ำกว่าปี เพราะต้องผลัก สร้างเงื่อนไขให้ราคาหุ้น ชิน คอร์ปฯ ให้สูงขึ้น ตามราคาในใจคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน อยากได้ โดยรวมๆแล้ว หากขายไปทั้งหมด แล้วได้รับเงินเท่าไหร่(จึงจะพอใจ) จึงมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้น เป็นตอน เพื่อให้สร้างราคาหุ้นให้สูงขึ้น
เช่นแก้ไขสัญญาสัมปทาน เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษี ซึ่งล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจตัวเอง อย่างน่าละอาย
หากย้อนไปดูพฤติกรรมของคุณทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ตั้งแต่ประกอบธุรกิจเอง ก่อนทำงานการเมือง จนเข้าสู่การเมือง ทำธุรกิจกึ่งผูกขาด ใช้เส้นสาย พวกพ้อง เงินต่อเงิน คดีซุกหุ้น 1-2 ล้วนแล้วแต่ เฉียดฉิวฉ้อฉล อย่างมีชั้นเชิง แต่ไม่เหมาะสำหรับบทบาทผู้นำประเทศ โดยส่วนตัวผมชื่นชม ในวิสัยทัศน์ และการมอง การแก้ปัญหา ของคุณทักษิณ แต่หากมองให้ครบด้านแล้ว คุณทักษิณ เป็นพวก คนเล่นเกมการเงิน(Money gamer) ในโลกทุนนิยมเสรีกักขฬะ สร้างความเจริญแต่ในเชิงวัตถุ เท่านั้น
คณะรัฐบาล นายกอภิสิทธิ์ ก็ได้แต่พูด สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่ไร้แนวทางปฎิบัติที่เป็นมรรคเป็นผล เพื่อให้ยุติปัญหาทางการเมือง ความเป็นธรรมในสังคม การประท้วงที่ไร้ขอบเขต สร้างความเดือนร้อนไปทั่ว การข่มขู่ของผู้มีอำนาจ ทั้งนายทหารบางคน แกนนำเสื้อแดง ที่ทำงานอย่างหนักทั้งในสภาและนอกสภา และแกนนำ พูดต่อสาธารณะชนว่า จะล้มล้างรัฐบาลให้ได้ วันนั้น วันนี้ อย่างนี้ทำได้หรือ? ทุกวันนี้ ใครก็ตาม เข้ามามีอำนาจรัฐ ส.ส. หรือนักการเมือง ร่วมกับนักธุรกิจที่กล้าเสี่ยง กล้าจ่าย ร่วมมือกัน ปลุกปั่น หาแนวร่วมล้มล้างรัฐบาล ใดๆก็ได้ เป็นความชอบธรรมไปแล้วหรืออย่างไร ??
คตส. ก็ทำคดีคุณทักษิณแบบสุดโต่ง เกินไป มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะกรรมการ คตส. บางคน ออกให้สัมภาษณ์รายวัน เกี่ยวกับคดีอย่างเมามัน ราวกับว่า ถ้าไม่พูดแล้วประชาชนจะไม่ทราบว่าอยู่ฝ่ายไหน เอนเอียงหรือไม่ อคติ หรือไม่ ?
ไม่ว่าเสื้อสีอะไร ใช้สิทธิ เสรีภาพอย่างไร้ขอบเขตอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็คือการสร้างความปั่นป่้วน สร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่นแน่นอน เป็นแรงเสียดทาน เป็นเท้าที่ราน้ำ เวลาคนส่วนใหญ่กำลังพายเรือไปสู่เป้าหมาย ลักษณะอย่างนี้เป็นการทำลายความมั่งคั่งของประเทศ และประชาชนโดยแท้ รัฐบาลยังไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย เพี้ยนจริงๆ
นัยะที่อดีตนายกชวน เคยพูดเตือน คุณทักษิณสมัยยังเป็นนายกอยู่ ว่า "การบริหารประเทศ ไม่เหมือนการบริหารบริษัทตัวเอง" นั่นก็คือ ผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นคนไทยทุกคนสามารถเอาคุณทักษิณเข้าคุก เข้า ตารางได้ คุณทักษิณอาจจะประจักษ์แล้ว ว่าป็นจริง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า ผลแห่งคดีจะเป็นอย่างไร แม้ไม่ยึดทรัพย์สิน เงิน 76,000 ล้านบาทเลยก็ตาม ปัญหาการเมืองไทยก็ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ปัญหาทางการเมืองยังคงอยู่ และนับวันจะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ กฎหมาย ไม่มีใครฟังใคร ความวุ่นวายทางการเมือง จะยังคงเกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ หนัก เบา แล้วแต่ช่วงจังหวะเวลา ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ความเชื่อมั่นทางการเมือง จึงหาได้ยาก นโยบายรัฐบาลที่ออกมาจึงเป็นได้แค่ระยะสั้นๆ เม็ดเงินภาษีประชาชนบางส่วนต้องนำไปใช้จ่าย ซึ่งในยามปรกติ ไม่จำเป็นต้องใช้เช่น โฆษณาสร้างความสมานฉันท์ ให้เงิน กอ.รมน. ไปโฆษณา (ทำไมต้องเป็น กอ.รมน.?) ค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เศรษฐกิจประเทศที่ทิ้งดิ่งเหวลงลึกมาก ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นผลจาก สภาวะการณ์ทางการเมือง มากกว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐ
นับแต่นี้ไปยามเศรษฐกิจ ภูมิภาค หรือของโลก เข้าสู่ภาวะปรกติ หากยังไม่มีการนำระบบการคัดกรองนักการเมืองไปใช้ เศรษฐกิจประเทศไทย จะดีได้ก็ชั่วครู่ชั่วยาม และไม่มีทางรุ่งเรืองได้ คุณภาพชีวิต การศึกษา ของเด็ก เยาวชน โอกาสในการได้งานทำที่ดีของกำลังแรงงาน จะน้อยลงมาก ไม่ต้องพูดถึงการแข่งขันกับใครเขา แต่ถ้า ภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มไม่ดี เศรษฐกิจประเทศไทยจะแย่ลงมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมีแรงเสริมจากความไม่แน่นอน และความเชื่อมั่น ทางการะมือง
(โฆษณาเหล่านี้ทำได้ดี ปลุกสำนึกได้ดี แต่ไร้ผล ซึ่งยามปรกติไม่จำเป็นต้องเอาภาษีประชาชนไปใช้ต่อเรื่องเหล่านี้)
นี่จึงถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะรณรงค์ให้ นำระบบการคัดกรองนักการเมือง มาใช้ โดยสื่อทั้งกระแสหลักดั้งเดิม และสื่อใหม่ เป็นคนรณรงค์ ปลุกจิต ปลุกสำนึก ความมีส่วนร่วมให้ประชาชน ภาคพลเมืองได้ตื่นตัวหวงแหน ห่วงใยในอนาคตของลูกหลานตัวเอง แล้้วออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการเมือง
ถ้าการเมืองดี(ได้คนดีไปสร้างระบบที่ดี) ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม... เรื่องขี้ผง ....เชื่อหัวอ้ายเรืองดิ !!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น