Powered By Blogger

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อ. เคทอง คือใคร ?? ประกาศสงครามกลางเมือง !!!



ในคลิปด้านล่างนี้ ประกาศสงครามกลางเมือง ไม่รู้ว่าฝ่ายความมั่นคง รู้หรือยัง เพราะเพิ่งโพสต์คลิปนี้เมื่อ 4-5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
จากข่าวนี้ เป็นเพื่อนสนิท เสธ. แดง และเลขาธิการพรรคขัติยธรรม ของเสธ. แดง



หากสังเกตในคลิปแคมฟร๊อกซ์ ที่มีนายวีระ มุสิกพงศ์ ด้วย จะเห็นภาพ อ. เคทองด้วย (ถ้าจำไม่ผิด)



คนไทยส่วนใหญ่ กำลังถูก นักการเมือง ทหารอำมาตย์ และไม่อำมาตย์ บางคน ที่อ้างว่ารักชาติ รักแผ่นดิน กำลังทำให้แผ่นดินนี้ลุกเป็นไฟ และไม่ปลอดภัย ด้วยความคิดที่คับแคบ เห็นแก่ตัว เป็นที่สุด

นักการเมืองในโลกนี้เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ....วิ่งไล่ฟัด ไล่งับเงาตัวเอง โดยคิดว่า เงานี้เป็นความชั่วร้ายของคนอื่น

หวังจะให้รัฐบาล ดูแล ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ก็คงยาก ครับ




วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ขอแย้งคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา

ในรายการ "คุยกับแพะ" ทางทีวีไทยพีบีเอส หัวข้อ "ประเทศไทยหลังคำพิพากษา...."

คุณพงศ์เทพ บอกว่า ศาลจะทึกทักเอาเองว่า หุ้นชิน คอร์ป ที่เพิ่มขึ้น มูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ คุณทักษิณ เริ่มเป็นนายก จนลงจากตำแหน่ง ถือว่า ร่ำรวยผิดปรกติ หรือ สภาวะที่เศรษฐกิจประเทศดีขึ้นมามากมาย จากการบริหารประเทศของคุณทักษิณ ไม่เกี่ยวเลยหรืออย่างไร?
และตั้งคำถามเองว่า ถ้ารัฐมนตรีช่วยเพื่อนนักธุรกิจโดยการออกนโยบายเือื้อประโยชน์(โดยนักการเมืองคนนั้นไม่มีผลประโยชน์อะไร) จนนักธุรกิจคนนั้นร่ำรวยมากมาย ถามว่า ผิดไหม? คุณพงศ์เทพ บอกว่า ไม่ผิด นี่คือมุมมองคุณพงศ์เทพ ที่เป็นนักการเมือง ที่ยังคงมีปัญหา เหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ ทั้งสภา ยังพร่องในจริยธรรม อยู่นั่นเอง ทำให้คิดได้ไม่ยากว่า สิ่งที่นักการเมืองเข้าใจว่าไม่ผิดนั้น เพราะ โดยปรกติท่านเหล่านั้น พบเห็น รับรู้ เข้าใจ และกระทำเอง ตั้งแต่อดีดจนปัจจุบัน จึงไม่รู้ว่ามัีนผิด ไม่รู้ว่าเส้นแบ่งจริยธรรม ความถูกต้องดีงาม อยู่ตรงไหน? บทบาทตัวเองเวลาสวมหัวโขน ? และนโยบายสาธารณะ(public policy) คิืออะไร? นี่เป็นสิ่งอันตรายมาก ที่นักการเมืองไทย(อาจจะทั้งโลกด้วย) เป็นตัวปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะ เรายังคงใช้ตระแกรงกรองน้ำไว้กิน(วิธีการเดิมที่ได้นักการเมืองมา) แทนที่จะปรับเปลี่ยนไปใช้เครื่องกรองน้ำคุณภาพดี(ระบบการคัดกรองนักการเมือง)

ผมขอยกตัวอย่าง คดีและวิธีการตัดสินคดีของคณะลูกขุน ในสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับ คดีรถยนต์เชฟโรเล็ต รุ่นมาลิบู ปี 1979 เพื่อเทียบเคียง กับการตัดสินคดียึดทรัพย์ของคุณทักษิณ

ปี1993 คุณแพทริเซีย แอนเดอร์สันขับรถรุ่นดังกล่าว จอดติดไฟแดงอยู่ จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งชนท้ายรถเธอ ผล รถไฟลุกไหม้ครอกลูกเธอสองคน อายุ 6 และ 15 ปี และเพื่อน อีกคน แผลไฟไหม้ร้ายแรงระดับ สอง และ สาม ทำให้เสียโฉม คนหนึ่งต้องตัดมือทิ้ง แต่เธอก็ยังขอบคุณที่รอดชีวิตมาได้

ต่อมา...เธอให้ทนายฟ้องบริษัทเจเนอรัลมอเตอร์ส์ (GM) โดยให้เหตุผลว่า รถยนต์รุ่นมาลิบูไม่มีการป้องกันผลกระทบที่เกิดจากการปะทะชนที่ดีพอ หลังการพิจารณาคดีนาน....พอดู คณะลูกขุนพบข้อเท็จจริง จากการนำสืบของทนายว่า บริษัท GM วางถังน้ำมันไว้ในจุดอันตรายเพื่อประหยัดต้นทุนการผลิต ผู้พิพากษาศาลสูง ชื่อ เออเนสส์ จี. วิลเลี่ยมส์ แห่งลอสแอนเจลิส บันทึกคำตัดสินว่า " พบหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือที่แสดงให้เห็นว่า ถังน้ำมันของจำเลยติดตั้งไว้หลังเพลาของรถยนต์ยี่ห้อ และ รุ่นดังกล่าว เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของส่วนรวม"


บริษัท GM จึงมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับถังน้ำมัน ในรถรุ่นมาลิบู ปี 1979 ที่ คุณแพทริเซีย ขับ ซึ่งต้องติดตั้งห่างกันชนหลัง 20 นิ้ว แต่รถรุ่นดังกล่าวติดตั้งห่างกันชนหลังเพียง 11 นิ้ว และยังไม่มีแผ่นยึดโลหะแยกถังน้ำมัน อีกด้วย อันเป็นมาตรฐานที่มีในรถรุ่นก่อนหน้านี้ และบริษัทก็ทราบดีว่าเสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้ เวลาเกิดอุบัติเหตุ เพราะเคยเกิดเหตุมาแล้ว และบริษัทก็ทำแบบจำลอง การเสียชีวิตจากไฟลุกไหม้รถยนต์ จำนวน500 ราย ที่เกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์ของ GM ในแต่ละปี คูณด้วย 200,000 ดอลลาร์(จ่ายค่าชดเชยผู้เสียหาย/ราย) บริษัทต้องจ่ายเป็นค่าชดเชยการเสียชีวิตจากไฟไหม้รถยนต์ 2.40 ดอลลาร์ต่อคัน นี่คือต้นทุนของบริษัท ถ้าในกรณีติดตั้งให้ได้ตามมาตรฐาน ต้นทุนตกคันละ 8.59 ดอลลาร์ หมายความว่า ถ้าบริษัทปล่อยให้คนตาย บริษัทจะประหยัดเพิ่มขึ้นอีกคันละ 6.19 ดอลลาร์

คณะลูกขุนตัดสินว่า บริษัท GM มีความผิดทั้งทางศีลธรรมและ ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตัดสินให้ชดใช้คุณแพทริเซียและพวก เป็นเงิน 107 ล้านดอลลาร์ และค่าเสียหายเพื่อลงโทษบริษัท(Punitive damages) อีก 4.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีกฎหมายความรับผิดต่อผู้ผลิตฐานละเมิด(Product-liability)

ประเด็นที่ใช้เี่ทียบเคียงกับคดียึดทรัพย์คุณทักษิณ อยู่ที่ คุณทักษิณก็รู้ว่า ความเสียหายจะเกิดแก่ประเทศชาติ และ เงินภาษีของประชาชน จิตจริยธรรม ถูกครอบงำด้วยความละโมบ ผ่องถ่ายภาษีประชาชน ผลประโยชน์ชาติ ไปไว้กับตัวเอง เพียงแต่แนวทางการยึดทรัพย์ของศาล ถ้าแยกแยะ เหมือนคดี คุณแพทริเซีย ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการปรับ (Punitive damages)(ไม่แน่ใจว่าเข้าข้อกฎหมายไทยข้อไหน หรือไม่??) ซึ่งศาลจะสั่งปรับเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นอยู่กับเหตุแห่งคดี อีกส่วนหนึ่งเป็นการยึดจากลาภมิควรได้-ร่ำรวยผิดปรกติ

"How would you feel your kids in the car burning ? how would you feel....how would you feel ?"
คุณแพทริเซีย ร้องถามความรู้สึกนักข่าวที่สัมภาษณ์เธอ

How would you feel if you were being stolen money by your politicians again and again , year over year ? How would you feel.... how would you feel ? อันนี้ผมร้องถามเอง

คุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต ส.ส. ไทยรักไทย เป็นคนไม่ยุติธรรมมากว่า คณะศาลแน่ รักพวกพ้อง เข้าข้างพวกเดียวกันเอง ละเลยผลประโยชน์ชาติ โดยไม่พูดถึงการทำความเสียหายด้านอื่นๆ ของคุณทักษิณ

ผลเองก็เคยชื่นชมในแนวคิด คุณทักษิณมากๆ และที่ผ่านมาคุณทักษิณ ก็ทำประโยชน์ไว้มาก ...
ไม่น่าเ้ล้ยยยย

ผมยิ่งมั่นใจ ในความจำเป็นที่ต้องมี ระบบการคัดกรองนักการเมือง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ผลประโยชน์ของชาติ และสร้างความมั่งคั่ง คุณภาพชีวิตของประชาชน นักธุรกิจ ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ศาลตัดสิน ยึดทรัพย์สินคุณทักษิณ 46,373 กว่าล้านบาท !!


ยุติธรรม ชัดเจนที่สุด อันเป็นผลการกระทำของตัวเองและคุณพจมาน ให้คิดเสียว่า ช่วยประเทศละกันครับ ทดแทนคุณแผ่นดินเกิด นี่เป็นผลของการเห็นแก่ได้ ฉ้อฉล ฉกฉวยโอกาสเอาความมั่งคั่งใส่ตัวเอง แบบผิดๆ

ศาล จึงพิพากษา คืนเงิน 30,247 ล้านบาท ยึด 46,373 ล้านบาท

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มุมมองต่อคดียึดทรัพย์ คุณทักษิณ 76,000 ล้านบาทต่อการเมืองไทยในอนาคต

ในทุกสังคม ไม่ต้องการนักการเมือง หรือ ผู้นำที่ฉ้อฉล (Tricky leader) แม้นจะเก่งกาจก็ตาม คุณทักษิณ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลซ้ำซาก คุณทักษิณเป็นกรณีตัวอย่างหนึ่ง ของผู้นำในโลกทุกนิยมเสรีกักขฬะ ที่อยู่ในโลกีวิสัย ย่อมมีกิเลส ตันหา ต่อสิ่งเร้า ที่ยังไม่สามารถยกระดับจิตใจให้เป็นผู้มีใจสูง(มนุษย์) ได้ สังคมจึงต้องตระหนักถึงระบบในการตรวจสอบที่ได้ผลในเชิงรุก ซึ่งยังไม่มีในโลกนี้ อย่างเช่น ระบบการคัดกรองนักการเมือง หรือระบบอื่นๆ ที่จะคัดกรองคนที่จะมาเป็นผู้นำ ที่มากกว่าที่เป็นอยู่ ให้สังคมได้ตรวจสอบอย่างถ่องแท้เสียก่อนปล่อยให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับ เมื่อได้รับเลือกแล้วจึงค่อยไปทำงานการเมือง หรือทำงานสาธารณะอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ทั้งนี้ต้องบูรณาการทั้งสามส่วนไปพร้อมๆกัน เงินทางการเมือง (money politics) และสื่อด้วย

คุณทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ขณะนี้เปรียบเสมือนปลาที่หลงไปกินอาหารที่มีอยู่มากมายที่ปลอดภัย แต่ไปเลือกกินเหยื่อที่มีเบ็ดเกี่ยวไว้เอง จะด้วยความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ ความเคยตัวเป็นนิสัย จึงถูกเบ็ดเกี่ยวปาก ยากที่จะปลดตระขอเบ็ดนั้นได้ กรณีคุณหญิงพจมาน ซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูฯ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คุณทักษิณ ไม่ทราบ ว่าผิดกฎหมาย ปปช. แน่ แต่ก็ ชะล่าใจ(ด้วยอุปนิสัยของพ่อค้า แม่ค้า) ถึงแม้ไม่ผิดก็ไม่สมควรเสนอตัวซื้อ ด้วยมารยาท หรือ สปิริต ของผู้นำ ซ้ำร้าย เมื่อประมูลซื้อได้ทรัพย์แล้ว ยังไปแก้ไขผังเมืองรวมใ้ห้ตัวเองได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก(น่าจะเป็นการผลักดันจากคุณหญิงพจมานให้ คุณทักษิณกระทำ ลำพังคุณทักษิณ ผมไม่คิดว่าจะทำเรื่องนี้ โจ่งแจ้งเกินไป) อันเป็นนิสัยเห็นแก่ได้ ซึ่งผู้นำไม่สมควรกระทำ

หรือกรณีขายหุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่(Holding company) ถือหุ้นบริษัทอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อันนี้ก็มีการวางหมาก วางแผนไว้เป็นแรมปี ไม่ต่ำกว่าปี เพราะต้องผลัก สร้างเงื่อนไขให้ราคาหุ้น ชิน คอร์ปฯ ให้สูงขึ้น ตามราคาในใจคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน อยากได้ โดยรวมๆแล้ว หากขายไปทั้งหมด แล้วได้รับเงินเท่าไหร่(จึงจะพอใจ) จึงมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้น เป็นตอน เพื่อให้สร้างราคาหุ้นให้สูงขึ้น
เช่นแก้ไขสัญญาสัมปทาน เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษี ซึ่งล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจตัวเอง อย่างน่าละอาย

หากย้อนไปดูพฤติกรรมของคุณทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ตั้งแต่ประกอบธุรกิจเอง ก่อนทำงานการเมือง จนเข้าสู่การเมือง ทำธุรกิจกึ่งผูกขาด ใช้เส้นสาย พวกพ้อง เงินต่อเงิน คดีซุกหุ้น 1-2 ล้วนแล้วแต่ เฉียดฉิวฉ้อฉล อย่างมีชั้นเชิง แต่ไม่เหมาะสำหรับบทบาทผู้นำประเทศ โดยส่วนตัวผมชื่นชม ในวิสัยทัศน์ และการมอง การแก้ปัญหา ของคุณทักษิณ แต่หากมองให้ครบด้านแล้ว คุณทักษิณ เป็นพวก คนเล่นเกมการเงิน(Money gamer) ในโลกทุนนิยมเสรีกักขฬะ สร้างความเจริญแต่ในเชิงวัตถุ เท่านั้น

คณะรัฐบาล นายกอภิสิทธิ์ ก็ได้แต่พูด สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่ไร้แนวทางปฎิบัติที่เป็นมรรคเป็นผล เพื่อให้ยุติปัญหาทางการเมือง ความเป็นธรรมในสังคม การประท้วงที่ไร้ขอบเขต สร้างความเดือนร้อนไปทั่ว การข่มขู่ของผู้มีอำนาจ ทั้งนายทหารบางคน แกนนำเสื้อแดง ที่ทำงานอย่างหนักทั้งในสภาและนอกสภา และแกนนำ พูดต่อสาธารณะชนว่า จะล้มล้างรัฐบาลให้ได้ วันนั้น วันนี้ อย่างนี้ทำได้หรือ? ทุกวันนี้ ใครก็ตาม เข้ามามีอำนาจรัฐ ส.ส. หรือนักการเมือง ร่วมกับนักธุรกิจที่กล้าเสี่ยง กล้าจ่าย ร่วมมือกัน ปลุกปั่น หาแนวร่วมล้มล้างรัฐบาล ใดๆก็ได้ เป็นความชอบธรรมไปแล้วหรืออย่างไร ??

คตส. ก็ทำคดีคุณทักษิณแบบสุดโต่ง เกินไป มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะกรรมการ คตส. บางคน ออกให้สัมภาษณ์รายวัน เกี่ยวกับคดีอย่างเมามัน ราวกับว่า ถ้าไม่พูดแล้วประชาชนจะไม่ทราบว่าอยู่ฝ่ายไหน เอนเอียงหรือไม่ อคติ หรือไม่ ?

ไม่ว่าเสื้อสีอะไร ใช้สิทธิ เสรีภาพอย่างไร้ขอบเขตอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็คือการสร้างความปั่นป่้วน สร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่นแน่นอน เป็นแรงเสียดทาน เป็นเท้าที่ราน้ำ เวลาคนส่วนใหญ่กำลังพายเรือไปสู่เป้าหมาย ลักษณะอย่างนี้เป็นการทำลายความมั่งคั่งของประเทศ และประชาชนโดยแท้ รัฐบาลยังไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย เพี้ยนจริงๆ

นัยะที่อดีตนายกชวน เคยพูดเตือน คุณทักษิณสมัยยังเป็นนายกอยู่ ว่า "การบริหารประเทศ ไม่เหมือนการบริหารบริษัทตัวเอง" นั่นก็คือ ผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นคนไทยทุกคนสามารถเอาคุณทักษิณเข้าคุก เข้า ตารางได้ คุณทักษิณอาจจะประจักษ์แล้ว ว่าป็นจริง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า ผลแห่งคดีจะเป็นอย่างไร แม้ไม่ยึดทรัพย์สิน เงิน 76,000 ล้านบาทเลยก็ตาม ปัญหาการเมืองไทยก็ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ปัญหาทางการเมืองยังคงอยู่ และนับวันจะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ กฎหมาย ไม่มีใครฟังใคร ความวุ่นวายทางการเมือง จะยังคงเกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ หนัก เบา แล้วแต่ช่วงจังหวะเวลา ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ความเชื่อมั่นทางการเมือง จึงหาได้ยาก นโยบายรัฐบาลที่ออกมาจึงเป็นได้แค่ระยะสั้นๆ เม็ดเงินภาษีประชาชนบางส่วนต้องนำไปใช้จ่าย ซึ่งในยามปรกติ ไม่จำเป็นต้องใช้เช่น โฆษณาสร้างความสมานฉันท์ ให้เงิน กอ.รมน. ไปโฆษณา (ทำไมต้องเป็น กอ.รมน.?) ค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เศรษฐกิจประเทศที่ทิ้งดิ่งเหวลงลึกมาก ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นผลจาก สภาวะการณ์ทางการเมือง มากกว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐ

นับแต่นี้ไปยามเศรษฐกิจ ภูมิภาค หรือของโลก เข้าสู่ภาวะปรกติ หากยังไม่มีการนำระบบการคัดกรองนักการเมืองไปใช้ เศรษฐกิจประเทศไทย จะดีได้ก็ชั่วครู่ชั่วยาม และไม่มีทางรุ่งเรืองได้ คุณภาพชีวิต การศึกษา ของเด็ก เยาวชน โอกาสในการได้งานทำที่ดีของกำลังแรงงาน จะน้อยลงมาก ไม่ต้องพูดถึงการแข่งขันกับใครเขา แต่ถ้า ภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มไม่ดี เศรษฐกิจประเทศไทยจะแย่ลงมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมีแรงเสริมจากความไม่แน่นอน และความเชื่อมั่น ทางการะมือง



(โฆษณาเหล่านี้ทำได้ดี ปลุกสำนึกได้ดี แต่ไร้ผล ซึ่งยามปรกติไม่จำเป็นต้องเอาภาษีประชาชนไปใช้ต่อเรื่องเหล่านี้)

นี่จึงถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะรณรงค์ให้ นำระบบการคัดกรองนักการเมือง มาใช้ โดยสื่อทั้งกระแสหลักดั้งเดิม และสื่อใหม่ เป็นคนรณรงค์ ปลุกจิต ปลุกสำนึก ความมีส่วนร่วมให้ประชาชน ภาคพลเมืองได้ตื่นตัวหวงแหน ห่วงใยในอนาคตของลูกหลานตัวเอง แล้้วออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการเมือง

ถ้าการเมืองดี(ได้คนดีไปสร้างระบบที่ดี) ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม... เรื่องขี้ผง ....เชื่อหัวอ้ายเรืองดิ !!


วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การควบคุมดูแลกันเอง(self-regulation)

โดยดั่งเดิมของสังคมมนุษย์ ที่เป็นสัตว์สังคม ก่อนจะมี กฎหมาย ควบคุม ดูแล ก็คนในสังคมนั้นๆ ควบคุมดูแลกันเอง มีกฎเกณฑ์ของสังคม สร้างปทัสถาน ที่ทุกคนเห็นร่วมกัน ยึดถือร่วมกัน เป็นธรรม สอดส่อง ดูแล คนเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คนทำผิดทำนองคลองธรรม ส่งเสริมสิ่งดีดี คนทำเพื่อส่วนรวมให้อยู่แถวหน้า เป็นผู้นำ เพื่อให้สังคมอยู่กันได้อย่างเป็นปรกติสุข เป็นอย่างนี้เรื่อยมา แม้ปัจจุบันวิสัย ก็ยังคงใช้อยู่ในทุกสังคม ทุกวัฒนธรรม

วงการฟุตบอลอาชีพในบ้านเรากำลังเติมโต อย่างมาก ผิดหูผิดตา จากพฤติกรรมคนในการดู เชียร์กีฬาฟุตบอล บริโภคสื่อกีฬา โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าปลื้มใจ น่าส่งเสริม ให้เป็นไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ นักกีฬาสามารถยึดเป็นอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัวที่ดีได้ อยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ ตลอดจนเกิดธุรกิจเกี่ยวเนี่อง อีกมากมาย


อุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น ที่มีการทำร้ายกันจากแฟนฟุตบอล ของ "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการชิงแชมป์ถ้วย ก. (ข่าว) จนไม่สามารถแข่งขันต่อให้จบได้ ผมเห็นสื่อที่วี อย่าง คุณแชมป์ พีรพล เอื้ออารียกุล พิธีกร รายการกีฬา ที่ออกมาเกาะติด ประโคมข่าวเชิงประณามผู้เป็นต้นเหตุ การจราจลในครั้งนี้อย่างจริงจัง ซึ่งต้องขอชมเชย นี่เป็นตัวอย่างของสื่อที่กล้าหาญ แสดงออกถึงสิ่งไม่ดีไม่งามในวงการกีฬา เพื่อให้สังคมรุมประณามด้วย ผู้คน ที่แวดล้อมในวงการกีฬาก็จะได้เรียนรู้ ตระหนัก ตื่นตัว ถึงพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ ให้ถึงขนาด ว่าถ้ายังคงปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ คุณ ก็จะไม่มีที่ยืนในวงการกีฬาอีกต่อไป นี่เป็นแนวทางที่ดี จุดยืนที่ถูกต้องของสื่อ

จุดยืนทำนองนี้ ต้องนำไปใช้กับการเมืองด้วย ถ้าได้มีการประโคมข่าวเชิงประณามพฤติกรรมนักการเมือง ที่เบี่ยงเบนไป ไม่ทุ่มเท เสียสละ ไม่รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมที่ แสวงหา โกงกิน เพื่อกระตุ้นเตือนสังคม และกำกับพฤติกรรมเหล่านักการเมือง จะได้ตระหนัก ในหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อประชาชน ประเทศชาติ ที่นักการเมืองได้อาสาเข้ามาทำงาน การเมืองไทยจะไม่ตกต่ำอย่างที่เป็นอยู่ นี่คือผลของสื่อกระแสหลักดั้งเดิม ที่ผ่านมา ทำหน้าที่ไม่ชัดเจน อาจจะเป็นเพราะว่า นักการเมืองมีทั้งเงิน อำนาจ พวกพ้อง สื่อกระแสหลักดั้งเดิม จึงไม่กล้า ประโคมข่าวเชิงประณาม หรือประณามตรงๆ ให้สังคมได้รับรู้ ประณามได้กับคน หรือกลุ่มคนที่ด้อยกว่า อย่างกรณีคุณนาธาน โอมาน หรือ ดารานักแสดง แต่ไม่กล้าหาญประณามพฤติกรรมนักการเมืองที่ไม่ดีไม่งาม สื่อกระแสหลักดั้งเดิมไทยจึงเป็นได้แค่ หมาขี้เรื่อน ขี้ขลาด ไม่ต่างอะไรกับการแสดงจำอวด ไปเรื่อยๆ

ของฝากจาก อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ... "คนที่ประสบความสำเร็จสู้เป็นคนที่มีคุณค่าไม่ได้"

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลจากการใช้ GT 200

คุณรสนา โตสิตระกูล ส.ว สรรหา ให้สัมภาษณ์ว่า จะต้องมีการเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน ต่อการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้เจ้าไม้ล้างป่าช้านี้ หลงว่าเป็นไม้่วิเศษ จนเกิดเรื่องที่ผ่านมา




ผมเห็นด้วยว่าสมควร และรัฐ หรือท่านนายก อภิสิทธิ์ ต้องสั่งการห้ามใช้เจ้าไม้ล้างป่าช้านี้ด้วย และสอบสวน เอาคนจัดซื้อ มาลงโทษ เอาเงินภาษีประชาชนกลับคืนมา ด้วย มิฉะนั้นก็ไร้ประโยชน์ หากยังปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐยังใช้อีกต่อไป ก็จะเกิดปัญหา ต้องมีคนเสียหายอันเกิดจาก เจ้าไม้ล้างป่าช้านี้้อีก ไม่จบไม่สิ้น

สำหรับระดับเจ้าหน้าที่ที่ใช้เจ้าไม้ล้างป่าช้านี้อยู่ยังยึดติดอยู่ว่าใช้ได้ผล เป็นเพราะ อุปปาทาน หรือไม่ก็ เกิดจากการกลัวเสียหน้า หรือไม่ก็ กลัวการสอบสวนเอาคนผิดมาลงโทษ จึงหาข้ออ้างไว้ หาบังเกอร์ไว้ เป็นโล่ห์ป้องกันตัวเอง ส่วนใครที่ไม่เชื่อผลการทดสอบที่ผ่านมา แล้วจะยื่นอุธรณ์ นั้น ให้ย้ายออกไป คนพวกนี้เป็นไขมันส่วนเกินขององค์กร อย่างชัดเจน

ไม่เห็นมีใครจี้ประเด็นเรื่องตั้งกรรมการสอบสวน การจัดซื้อนี้ ประเดี๋ยวก็ลืมเลือน นายก อภิสิทธิ์ ก็ลืมอีก ผลก็คือ คนโกงกินก็ ยังอยู่ต่อไป เต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อโกงกินแล้ว ยังอยู่ยั้งยืนยง

ผลทดสอบเครื่อง GT 200 : ต้องสอบสวนคนจัดซื้อทั้งหมด

เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่ ทางการสหรัฐ ทดสอบ 22 ครั้ง เจ้าไม้ล้างป่าช้าชี้ได้ถูกต้อง 5 ครั้ง หรือ 22.7 %
ในทางสถิติเรียกว่า ไม่มีนัยที่เชื่อถือได้ พูดแบบชาวบ้านก็คือ เจ้าไม้ล้างป่าช้านี้ ไม่มีความสามารถตามที่อ้าง แต่ คนซื้่อ นี่สิ หลอก ประชาชนที่เป็นเจ้าของภาษี ที่ซื้อมาแพงโค-ตรๆ

สื่อกระแสหลัก ดั้งเดิมอย่างทีวี ทำหน้าที่ยังไม่ครบถ้วน โดย สื่อต้องตั้งคำถามให้ ท่านนายก อภิสิทธิ์ ตอนสัมภาษณ์ท่าน ต้องสอบสวนการจัดซื้อ เจ้าไม้ล้างป่าช้านี้ เอาคนโกงกินออกไปจากระบบ เอาเงินภาษีประชาชนกลับคืนมา ด้วย ต้องจี้ติด ให้กรรมสนองอย่างทันตาเห็น ให้ได้ คนโกงกินจึงจะคิดหนักก่อนที่จะโกงกิน

หมอพรทิพย์ ยังให้สัมภาษณ์ คุณสรยุทธิ์ ว่าใช้เจ้าไม้้ล้างป่าช้า เพื่อประกอบให้กำหนดพื้นที่ได้แคบ ทำงานได้ง่ายชึ้น ในเมื่อมันไม่มีนัยสำคัญถึงประสิทธิภาพ ความแม่นยำอะไรเลย ก็ไม่ต่างอะไรกับใช้ไม้ไผ่ ธรรมดาๆ นี่เอง ทำให้หลงประเด็น เหมือนเรากินแป้งเป็นเม็ดๆ ที่คนหลอกว่าเป็นยา แก้โรคปวดหัว กินเท่า่ไหร่ก็ไม่ได้ผล ทำนองเดียวกัน จึงไม่ควรกินอีก แต่กรณีไม้ล้างป่าช้า นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังจะให้ผลร้ายในกรณีที่เจ้า่ไม้ล้างป่าช้าชี้ผิด อีกด้วย อันตราย ครับคุณหมอ ....อย่า่ถือทิฐิ

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ควันหลงการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล 2010

เม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาโลก อยู่ที่ 600 พันล้านดอลลาร์ ตลาดอเมริกาประมาณ 35% ด้วยขนาดจำนวนประชากร 305 ล้านคน

อุตสาหกรรมโฆษณาของสหรัฐอเมริกาตื่นตัว และให้ความสำคัญมาก ในการเข้าถึงผู้คนได้จำนวนมากๆ อย่างเกมการแข่งขัน อเมริกันฟุตบอล และปี 2010 ครั้งที่ 44 นี้ก็ ทำลายสถิติด้วยผู้ชมมากถึง 106.5 ล้านคนที่ชมการแข่งขันแบบสดๆผ่านทางเครือข่ายทีวี ซึ่งก็เช่นเดียวกันที่อัตราค่าโฆษณาย่อมสูงมาก และคงไม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่ อัตราค่าโฆษณา 3.01 ล้านดอลลาร์ต่อ 30 วินาที (เกือบ 200 ล้านบาทต่อนาที !! ) ซึ่งอัตราค่าโฆษณานี้สูงกว่า่รายการทีวีที่แพงที่สุดทาง NBC เกือบ 10 เท่า !! แต่ก็ มี ผู้โฆษณาหลักๆ ที่ได้ซื้อโฆษณา แม้จะสูงมากก็ตาม

ตัวอย่างโฆษณาหลักๆ













วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สมาคมแบดไทย: เมื่อผลประโยชน์ขัดกัน.. ความบรรลัย !! ก็มาเยือน

หลายๆประเทศก็เป็นแบบนี้ ใช้วิธีแบบนี้ ทั้งมาเลย์ เกาหลีใต้ เค้าก็ทำแบบนี้ อ. เจริญ วรรธนะสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์สื่อทำนองนี้ อ. เจริญ ครับ ถ้าประเทศอื่นๆ เขากดขี่นักกีฬาได้ แล้ว นักกีฬายินยอม ไม่โต้แย้ง ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล




สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย กำลังทำตัวเป็นทั้งปลิง เป็นทั้งมาเฟีย กดขี่ สูบเลือด จากหยาดเหงื่อนักกีฬาอย่างน่าละอาย ตั้งกฎเกณฑ์ ค่าใช้จ่าย เพี้ยนๆ มีแต่เขาจะสนับสนุน ในทุกด้าน ทุกเรื่อง ให้นักกีฬาได้ใช้ความสามารถพิเศษ เค้นศักยภาพของนักกีฬา ให้ออกมา เพื่อความเป็นเลิศในการแข่งขัน แต่สมาคมแบดฯ ทำตรงกันข้าม

พล ต. จารึก อารีย์ราชการัณย์ รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิปิกแห่งประเทศไทย บอกว่า "อยากให้ผู้บริหารสมาคมแบดมินตัน ให้ความสำคัญกับนักกีฬาเป็นหลัก จะมีสมาคมได้อย่างไร ถ้าไม่มีนักกีฬา อยากให้เอาใจใส่กับนักกีฬา มากกว่าที่จะเอาใจผู้บริหารสมาคมด้วยกัน...." (ข่าว) ตรงจุด ตรงประเด็น

ความขัดแย้ง ทำนองนี้ ก่อนหน้านี้ก็เกิดกับสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทย เช่นเดียวกัน (ข่าว) และน่าจะมีอีก หลายๆสมาคมที่เป็นคลื่นใต้น้ำอยู่

ได้โปรดพิจารณาตัวเองโดยด่วน คุณกรรมการสมาคมแบด ชุดนี้ อย่าดื้อเพ่ง เมื่อบริหารแล้ว ไม่มีความโปร่งใส เอารัดเอาเปรียบ โดยใช้ทรัพยากรของประชาชนไปหากิน ควรจะมีสปิริต เมื่อไม่สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สมาคมได้ แถมยังขัดแย้งกันอย่างหนัก จนนักกีฬา ลาออกตั้งมากมาย ผลเสียหายตกแก่ประเทศชาติ และประชาชน

ขอให้สังวรณ์ไว้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสมาคมอะไร หากยังไม่สามารถสร้างมาตรฐาน เรื่องกฎเกณฑ์ ผลตอบแทน ที่เป็นธรรมโดยมุ่งแน้นไปที่ผลประโยชน์ของนักกีฬาเป็นหลัก ก็ยังจะมีความขัดแย้ง ให้เห็นอีก และบ่อยมากยิ่งขึ้น

เิงิน ไม่รู้จักศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม ที่ใดก็ตาม รักสามัคคีกลมเกลียวกันดี หากได้โยน เงิน หรือผลประโยชน์ฺใส่เข้าไป เมื่อนั้น บรรลัย ทะเลาะกัีน แตกสามัีคคี หรือถึงขั้น อารยธรรมล่มสลาย มาแล้วในอดีต และประเทศไทยตอนนี้ ก็กำลังติดหล่ม นี้อยู่เช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สื่อกระแสหลัก ต้องมมีจุดยืด และกล้าหาญ

สื่อกระแสหลัก ดั้งเดิม อย่าง สื่อสิ่งพิมพ์ ทีวี และวิทยุ เป็นหนึ่งในสามส่วน ที่ผมเคยเขียนถึงบ่อยๆ หากจะแก้ปัญหาการเมืองไทย ได้อย่างยั่งยืน ต้องบูรณาการสื่อด้วย เพราะ มีความสำคัญต่อสังคมมนุษย์ ที่เป็นสัตว์สังคม ที่ล้วนแตกต่างกัน ทั้ง จิตสำนึก วิจารณญาณ ทัศนคติ วิธีคิด ท่าที พฤติกรรมต่างๆ

สื่อ ย่อมรู้ และเป็นหน้าที่ ช่วยตรวจสอบ บุคคลสาธารณะ ได้ดีกว่าคนทั่วไป และ สามารถเข้าถึง คนหมู่มากได้ เมื่อคนคน หนึ่ง หรือกลุ่มคนหนึ่ง ที่หน้าฉาก มีการศึกษาที่ดี ชาติตระกูลดี มีชื่อเสียง มีทรัพย์สิน เงินทองมากมาย จะเป็นคนที่เหมาะสม ให้บริหารกิจการบ้านเมืองได้ ฝากลูก ฝากหลาน ฝากอนาคตของชาติไว้ได้อย่างสบายใจ และคนเหล่านั้น มีความมุ่งมั่น ในเจตจำนงทางการเมือง(Political will) ที่สร้างสรรค์ เพื่อสังคมโดยรวม อย่างทุ่มเท เสียสละ สื่อกระแสหลัก มีบทบาทสำคัญยิ่ง ที่สนับสนุน คนดี มีคุณธรรมให้สังคมได้รับทราบ และกระตุ้นเตือนสังคม ให้ได้ทราบถึงคนไม่ดีไม่เหมาะสม ที่จะทำงานสาธารณะ ช่วยแยกแยะ คัดกรอง คนเหล่านี้ ให้ออกห่าง อย่าให้ได้มีโอกาสเข้าสู่อำนาจรัฐได้

Arianna Huffington - Commencement 2009 from CUNY Grad School of Journalism

Arianna Huffington ผู้่ก่อตั้งร่วม หนังสือพิมพ์ The Huffington Post บอกว่า " Journalism is to speak truth to power" and said " Journalists have incredible responsibility to remember and remind the world about things, many of our leaders continue to want to forget"

ถ้าสื่อมีจุดยืน มีหลักยึดในคุณธรรมความดีงาม อย่าห่วงว่า จะมีคนกล่าวหาว่า ไม่มีความเป็นธรรม เรื่องความเป็นกลางนั้น ไม่เคยเห็น ไม่เคยมีในโลก ตั้งแต่มนุษย์รู้จักใช้วิจารณญาณ แล้ว บ้านเมืองที่วุ่นวาย สับสน "ผู้ยิ่งใหญ่" ทั้งหลาย ที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เห็นคุณค่าในชีวิตคนอื่น และยังคงกระทำตัวเหมือนมีกฎหมายไว้คอยรับใช้ตัวเอง ค่านิยมของสังคมที่ผิดเพี้ยนไป เพราะสื่อหลงคิดว่า ต้้องเป็นกลาง จึงวางเฉยต่อ จุดยืน หลักคุณธรรม ความดีงาม ได้แต่เอาไมค์ไปจ่อปากคนโน่นที คนนี้ที ก็คิดว่า ได้แล้ว เป็นกลางดีแล้ว สื่อกระแสหลัก มีส่วน แต้ม เติมสี ส่งเสริม ให้เป็นไป สื่อบางแขนงอาจใช้ หรือได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วยซ้ำ

ในโลกที่แบนราบลงทุกขณะนี้ ข่าวสาร ต่างๆมีมากมาย เป็นล้านๆเรื่องในแต่ละวัน และวันก่อนๆอีกล่ะ ท่วม พื้นที่เสนอข่าวสาร ทุกรูปแบบ อย่างเทียบกันไม่ได้ กองบรรณาธิการ ของสื่อ จะเลือกเสนอข่าวสาร อะไร บนพื้นที่ตรงไหน อย่างไร อย่างรับผิดชอบต้อประชาชน ตรงนี้ต่างหาก ที่บ่งบอกว่า เป็นสื่อที่ดีมีคุณภาพ จรรโลงสังคม และสร้างสรรค์ร่วมกัน

กองบรรณาธิการข่าว จะนำเสนอเรื่องมดสองตัวกัดกัน ก็ได้ หรือ เสนอข่าว นักการเมืองสมคบกับข้าราชการ ในองค์การคลังสินค้า ขโมยสต๊อกข้าวของรัฐบาลเป็นหมื่นๆตัวได้อย่างไร?? นำเสนอ อย่างต่อเนีื่อง บนพื้นที่ที่เด่น คนอ่านมากๆ ขุดคุ้ย จนสังคม ผู้เสียภาษี ตระหนักถึงผลเสีย ต่อภาษีอากรของตัวเอง และกระตุ้น เตือน ให้เจ้าพนักงาน เร่งการตรวจสอบ เอาข้อเท็จจริง มาบอกกับประชาชน ลงโทษคนโกงกิน นำภาษีประชาชนกลับคืนมา ข่าวไหน น่าจะส่งผลต่อสังคมโดยรวม ดีกว่ากัน หรือ เสนอข่าว ดารา นักแสดงหญิง ตบตีแย่งชิงผู้ชาย อย่างเมามัน เกาะติด พาดหัวตัวไม้่ หรือ ออกอากาศเป็นตอนๆ รายงานผลคืบหน้า การตบตีแย่งชิงผู้ชาย ราวกับถ้าพลาดข่าวนี้ แล้ว สื่อตัวเองจะเจ๊ง

สื่อสามารถปั้นข่าวให้ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว เป็นเทาได้ จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นเรื่องจริงได้ ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน หรือพวกพ้อง หากช่วงหนึ่งช่วงใด "พร่อง" ในจิตสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน

สื่อกระแสหลัก ต้องมีจุดยืน กล้าหาญ และย้ำเตือนถึง หลักคุณธรรม ความดีงาม ให้แก่สังคม และกระตุ้นจิตสำนึกรับผิดชอบ นักการเมือง หรือผู้นำ ให้รับผิดชอบต่อประชาชน ต่อเงินภาษีของประชาชน อย่างสม่ำเสมอ มิฉะนั้น สื่อเหล่านี้ ก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับการ "แสดง" "จำอวด" ไปเรื่อยๆ ก็จะไร้ราคา ค่างวด

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม(Justice delayed is justice denied)

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ องคมนตรี กำธน สินธวานนท์ ออกมาพูดทำนองว่า รัฐบาลตั้งรับมากเกินไป ไม่กล้าหาญพียงพอที่จะดำเนินคดี เมื่อมีคน หรือ กลุ่มบุคคลทำผิดกฎหมาย (อาจจะผิดซ้ำซากด้วย) หรือมีแนวโน้มว่าจะกระทำความเสียหายแก่บ้านเมือง แต่รัฐบาลไม่มีความชัดเจนในทางปฎิบัติที่จะจัดการ ดำเนินการอะไรเลย ได้แต่ "พริ้ว" ตีสำนวน ตอบโต้ ไปมา เมื่อรัฐบาลถือกฎหมายอยู่ในมือแท้ๆ ยังไม่กล้าหาญ ไม่กล้าดำเนินการอะไร แล้วประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งมากกว่า 99.99% ที่รักสงบ จะพึ่งพาได้อย่างไร ซึ่งผมเคยเขียนถึง (นี่ด้วย) ขนาดนายก อภิสิทธิ์ ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วจะอยู่บริหารกิจการบ้านเมืองไปเพื่ออะไร?? ในเมื่อสังคมต้องการ ให้จัดการคนที่ทำผิดกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่ไม่กล้าดำเนินการ นี่ก็ถือว่าเพี้ยน!!



ทั้งแกนนำเสื้อหลือง เสื้อแดง หรือ เสธแดง พลเอก พัลลภ หรือใครอื่นใด ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายไทยหรือ? หรือว่า รัฐบาลเกรงกลัวอำนาจเถื่อนๆ ?? หรือว่ากลับม๊อบ ? หรือว่ากลัวสูญเสียอำนาจ ? หรือว่า หาทุนทางการเมืองยังไม่ได้เป้า??(หรือว่าถูกทุกข้อ ?) ผมบอกได้เลยว่า ถ้าท่านนายก อภิสิทธิ์ ประกาศดำเนินคดี กับ ใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมาย ความสงบสุขของประชาชนอย่างเฉียบขาด โดยเฉพาะกับ "ผู้ยิ่งใหญ่" ทั้งหลาย ตอนนี้ สังคมจะปรบมือให้ อย่างห่วงว่าจะอยู่ไม่ได้หากตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต อย่าให้คุณให้โทษ ใคร กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง อย่างไม่เป็นธรรม แม้นตอนนี้อาจต้องยุบสภา แต่ไม่นานก็จะกลับเข้ามาได้อย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้นอย่าห่วงสถานะตัวเอง ถ้าห่วงก็จะไม่กล้าทำอะไร อย่างที่เป็นอยู่ (กลัวเกินไป ทำอะไรไม่ได้ความ กล้าจนเกินงาม จะพบกับความเดือดร้อน) เมื่อการบริหารประเทศ ทีี่ข้าราชการ ต้องมองหน้านักการเมืองที่มีอำนาจ ก่อนทำตามหน้าที่ ทำตามกฎหมาย บ้านเมืองก็เดี้ยงแล้ววว

ทั้ง เสธแดง และ พลเอก พัลลภ เป็นสัญลักษณ์ แ่ห่งความรุนแรง นักรบ นักฆ่า ยึดติดอยู่กับอำนาจนิยม ไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างที่อ้าง จากท่าที ทัศนคติ ของคนทั้งคู่ที่เคยให้สัมภาษณ์ ผ่านสื่อหลายต่อหลายหน เรื่อยมา ซึ่งนำสังคมที่รักสงบในโลกนี้ ไม่ได้ สิ่งที่ แกนนำคนเสื้อแดงหลายคน ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคนทั้งสอง ก็บ่งบอกได้ว่า แกนนำคนเสื้อแดง ไม่เห็นด้วยกับวิธีความรุนแรง (ข่าว)(คิดในเชิงบวก ไม่อยากคิดว่า คนเหล่านี้แย่งชิงซีน แย่งชิงอำนาจกันเอง)

แต่ก็ดีแล้ว พระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง ที่ให้พล เอก พัลลภ เปลี่ยนใจ ออกนอกเส้นทางไปเสียตอนนี้ ที่ประกาศยุติบทบาท งดร่วมสังฆกรรมกับ คนเสื้อแดง

นายก อภิสิทธิ์ ไม่แก่งด้านการตลาด หรืออาจรวมถึง ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และที่ปรึกษาด้วย ที่ไม่รู้ว่า คนในสังคมต้องการอะไร ถ้าเก่ง ถ้า่รู้จริง ต้องปรับเปลี่ยน วิธีคิด นานแล้ว หรือจะบอกว่ารู้จริง แต่ก็ไม่เห็นแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้ อย่างเป็นมรรคเป็นผล หรือว่ารู้จริง แต่ไม่มีปัญญาแก้ไข

วัฒนธรรมองค์กร ในพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็แทบไม่แตกต่างอะไรกับพรรคการเมืองอื่นๆ ดูอย่างเมื่อเร็วๆนี้ อดีต รมต สาธารณสุข นาย วิทยา แก้วภราดัย ที่จำต้องลาออกไป พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังแต่งตั้งให้เป็นประธานวิปรัฐบาล หรือว่า คนในพรรคไม่มีใครอื่นที่เหมาะสมอีกแล้ว วิธีคิด วิธีปฎิบัติ แบบนี้ ที่ทำร้ายความรู้สึกคนในสังคม เหมือนกับจะบอกว่า " ถ้าสังคมจับได้ว่า (จะ) โกงกิน ไม่สุจริตก็แค่ให้ลาออกไป แต่พรรคก็ยังให้ท้าย สนับสนุน ก็พวกมาก ลากกันไปอยู่นั่นเอง และก็ยังเีวียนวนอยู่ในพื้นที่สาธารณะ รอจังหวะเข้าสู่อำนาจ

นี่คือส่วนหนึ่งของ การเมืองแบบไทยๆ ที่นักการเมืองพายเรืออยู่ในอ่าง.... เน่าๆ !!



วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

GT200 : ใครพอมีเวลา เชิญดูวีดีโอ

วันนี้ ลากลิงค์ ที่คนอื่นๆเขาโพสต์วีดีโอ มาให้ดูครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Phishing Scam:การต้มตุ๋น หลอกลวงบนอินเตอร์เน็ต อีกวิธีหนึ่ง

Phishing Scam คือการสร้างเว็บไซต์หลอก หรือเว็บไซต์ปลอม ที่เหยื่อใช้ประจำหรือ คุ้นเคย เพื่อต้องการข้อมูลส่วนตัว (personal identity data) ของเหยื่อ เช่น ชื่อ นามสกุล(user names) ระหัสลับ (passwords) หรือข้อมูลทางการเงินต่างๆ ไปสวมรอยแทนเจ้าของ เช่น นักต้มตุ๋น (Scammers) จะสร้างเว็บไซต์ ของ ธนาคารกสิกรไทย ให้ดูเหมือนของจริงให้มากที่สุด หรือ สร้างเว็บเมล Yahoo ปลอม เพื่อให้หลอกเยื่อ กรอกข้อมูลส่วนตัว โดยอ้างเหตุผลสารพัดให้ฟังดูมีเหตุผล เช่น ในกรณีที่เกิดขึ้นกับ คุณเชอรี่ ผุงประเสริฐ ดารา นักแสดง ให้ยืนยันการใช้อีเมลใหม่อีกหน ว่าจะยังคงใช้อยู่ มิฉะนั้นจะถูกปิดภายใน 24 ชั่วโมง(ไม่ใช่การแฮกอีเมล) เมื่อเหยื่อหลงเชื่อ นักต้มตุ๋น(Scammers) ก็จะนำ ข้อมูลส่วนตัวเข้าใช้ในอีเมลเหยื่อ ค้นหาเอกสารสำคัญทางการเงิน หรืออื่นใด ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเงิน ได้ ซึ่งหยื่อบางรายเก็บข้อมูล ระหัส ส่วนตัวทางการเงิน เลขที่บัญชีสำหรับโอนเงินทางออนไลน์ นักต้มตุ๋น (Scammers) ก็จะสมประโยชน์



ส่วน Pharming Scam คือ การแฮกผ่านเซิร์ฟเวอร์ แล้วเปลี่ยนหน้าโฮมเพจ ของเว็บไซต์เป้าหมายเป็นของตัวเอง แต่เหมือนเว็บไซต์ของเดิม ส่วนใหญ่จะ แฮกเว็บไซต์ใหญ่ๆ เมื่อมีสมาชิก หรือ ผู้ใช้เว็บไซต์ดังกล่าวเข้าใข้งาน ข้อมูลสำคัญต่างๆ ก็จะถูกขโมยไป

Phishing and pharming scam เป็นแค่ส่วนเล็กๆในโลกอาชญากรรมบนอินเตอร์เน็ต (cyber crime) ซึ่ง ในเวที ดาวอส (Davos) 2010 ก็ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงพอสมควร เพราะ กฎหมายเดิมๆ (Traditional law)ไม่สามารถ ใช้จัดการบนโลกออนไลน์อย่างได้ผล แล้วประเทศไทยเตรียมพร้อมแค่ไหน?
?????? ...ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวก่อน...เดี๋ยวก่อน.... ขอทะเลาะกันก่อน...