เมื่อความเป็นธรรมในสังคมหลือน้อย หรือ เจ้าพนักงาน เลือกบังคับใช้กฏหมาย กับกลุ่มคน หรือบุคคล และหลักแห่งความดี ความถูกต้อง เหมาะสม ถูกลืมเลือน มานาน ก็จะเกิดลัทธิเอาอย่าง จากกลุ่มคนที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ลุแก่อำนาจ ปิดถนนบ้าง บุกยึดสถานที่ราชการบ้าง ปิดสนามบิน บ้าง เหตุการณ์เหล่านี้ ก็จะถูก เอาไปนำไปทำเป็นแบบอย่าง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า รุกลามไปถึงบทบาทของเอกชน พนักงานโรงงาน ออกมาปิดถนน โดยปราศจากการจัดการโดยเจ้าพนักงานของรัฐ รีบกระทำให้สถานการณ์กลับคืนสู่ความเป็นปรกติสุขได้ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เช่น ประกาศเตือนให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกนอกพื้นที่ก่อน ให้สื่อมวลชนตามไปทำข่าวหลายๆแขนงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐจัดการกับผู้ประท้วงอย่างไร โดย จัดเจ้าหน้าที่ และรถให้มากพอเพื่อเข้าอุ้ม หรือ พยุงผู้ทำความเดือดร้อนให้ออกจากสถานที่นั้นๆ โดยเร็ว ด้วยความเมตตาได้ หากมีผู้ฝ่าฝืน ไม่ยินยอมก็ ใช้เจ้าหน้าที่ สองคน อุ้มหนึ่งคนออกไป หากมีผู้ประท้วงทำร้ายเจ้าหน้าที่ ก็สามารถ แจ้งข้อหา และจัดการไปตามกฏหมายต่อไป
หากเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบ คอยแต่จะมองหน้านักการเมือง ว่า"ส่ายหน้า" หรือ "พยักหน้า" อย่างที่เป็นอยู่ บ้านเมืองคงพินาศ เพราะ เจ้าหน้าที่ไม่กล้ากระทำการใดๆ ฝ่ายผู้ประท้วงก็ ได้ใจ กดดัน ฮึกเหิม โดยไม่สนใจใครใดๆทั้งสิ้น จนกว่าจะบรรลุผลข้อเรียกร้อง แต่ประเทศชาติ และประชาชน 99.70% ของประเทศ เดือดร้อนแสนสาหัส
ถ้าการประท้วงโดยสันติปราศจากอาวุธ ก็น่าจะจัดการได้ตามที่กล่าวได้ ถ้ากลุ่มผู้ประท้วงละเมิดสิทธิผู้อื่น ละเมิดผู้สัญจรไปมา เว้นแต่ ผู้ประท้วงมี "กองกำลังติดอาวุธ" คอยพิทักษ์รักษากลุ่มตน ดั่งผู้ประท้วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก(ที่มีกลางเมืองหลวง) และน่ากลัวมาก
ในแง่ของรัฐบาลไม่ว่ารัฐบาลไหน หากไม่สามารถจัดการบริหารบ้านเมืองให้เป็นปรกติสุขได้ ก็สมาควรลาออกไปซะ แสดงความรับผิดชอบซะ อย่าอ้าง เรื่องโน้น เรื่องนี้ ดื้อด้าน มีอำนาจอยู่เต็มมือแท้ๆ แต่ใช้บริหารไม่ได้ บริหารไม่เป็น ต้องเร่ร่อนไปประชุมที่โน่นที ที่นี่ที ไร้ยาง...จริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น