โลกที่เราอาศัยอยู่ กำลังถูกทำให้แบนราบลงเรื่อยๆ ผนังทั้งสี่ด้านถูกพังพาบลงเป็นลำดับ สนามแทบทุกสนาม ถูกปรับให้ราบเรียบให้พร้อมรับการแข่งขัน ไม่ว่าคุณคนนั้นเป็นใคร ชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ มีอวัยวะครบถ้วนหรือไม่ จะอยู่แห่งหนใด ก็สามารถ เข้าถึงข้อมูล เชื่อมโยง ปฎิสัมพันธ์กันได้ตลอดเวลา แทบจะทุกรูปแบบ อย่างไม่เคยทำได้มาก่อน และมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นโดยยึดโยง หรือมีพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เคารพในสิทธิ และเสรีภาพของกันและกัน และตระหนักรู้ในหน้าที่ความรับผิดชอบ ของกันและกัน
สิ่งที่กล่าวโดยสรุปนี้คือ ระเบียบโลกใหม่ เป็นพลวัตใหม่ของการเปลี่ยนผ่าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม ที่เชื่อมโยงถึงกัน (Globalization) ขอแบ่ง Globalization ออกเป็นสามยุกต์ สามช่วงดังนี้
1. Gloalization based Nation-State ( ปี ค.ศ.1400-1799) หรือ Globalization 1.0 ที่สมัยนั้น เน้นรัฐ หรือประเทศ ออกล่าอาณานิคมกอบโกยทรัพยากรจากประเทศที่รุกรานได้ กลับไปสู่ประเทศของตนเอง เกิดระบบทาส รัฐ หรือ ประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง จนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ
2. Globalization based Corporation (ปี ค.ศ.1800-1999) หรือ Globalization 2.0 เป็นยุกต์ หรือช่วงที่บรรษัทขนาดใหญ่เริ่มโดยซีกฝั่งยุโรป ตามด้วย สหรัฐอเมริกา เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เป็นการกอบโกยกำไร เอารัดเอาเปรียบ โดยทุนนิยมขนาดใหญ่ เน้นกำไรสูงสุดของผู้ถือหุ้น แล้วทิ้งความเสื่อม ภาระ (Extenality) ไว้ให้กับสิ่งแวดล้อม และสังคม
3. Globalization based Individual ( ปี ค.ศ. 2000-ปัจจุบัน) หรือ Globalization 3.0 โลกในช่วงต่อจากนี้ไป เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยระดับบุคคล อำนาจแห่งการเลือกสรร สร้างสรรค์ ถูกยัดใส่มือเราทุกคน ไม่ว่าคุณหรือผม ก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ได้ เป็นการสร้างเครือข่ายต่างๆ (networks) เป็นชุมชนสิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก คล้ายๆกัน เป็นการเชื่อมโยง เข้าถึงข้อมุล องค์ความรู้ วัฒนธรรมต่างถิ่น (Cross culture) ที่มีอยู่ในโลกที่เมื่อก่อนไม่สามารถ ทำได้อย่างลื่นไหล คล่องตัว ง่ายดาย ที่สำคัญ เพียงแค่นั่งอยู่กับที่ และประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หันกลับมามองการเมืองไทย ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 นับได้ 77 ปีผ่านมา มี รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ (เฉลี่ย 4.27 ปีมี1 ฉบับ) มีการเลือกตั้งทั่วไป 21 ครั้ง (เฉลี่ยใช้ 3.67 ปีเลือกตั้ง 1 หน) มีนายกรัฐมนตรี 59 คน (เฉลี่ย เป็นคนละ 15.6 เดือน) เกิดการปฎิวัติรัฐประหาร และกบฏ รวม 24 หน (เฉลี่ย 3.2 ปีหน) คงมองเห็นภาพนะ ว่า การเมืองไทย อ่อนแอ แค่ไหน การเมืองเป็นเหตุผลสำคัญยิ่งที่ทำให้ประเทศชาติและประชาชน โดยส่วนใหญ่ พลาดโอกาสในการได้รับประโยชน์ที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี การศึกษาที่ดี และความเป็นธรรมจากระบบที่ดี ไปอย่างมากมาย เพราะอะไรน่ะหรือ ...
ครับ คน ..คนที่เป็นนักการเมือง คือปัญหา
ผมขอฟันธงไว้ตรงนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) แบบที่ไทยใช้อยู่เวลานี้นั้น ไม่สอดคล้อง ไม่สอดรับ กับโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว และ ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา "ตัวแทน" ของตัวเอง รูปแบบนี้อีกต่อไป ในโลกปัจจุบัน มีระบบ วิธีการที่ดีกว่า ในแทบทุกบริบท ให้ได้ใช้แล้วและประชาชนทั่วทั้งประเทศสามารถ เข้าถึง จัดการ ถกเถียงถึงสิ่งที่ดีงามของกฎเกณฑ์สาธารณะ พื้นที่สาธารณะ ที่ทุกคนต้องเคารพ ทุกคนต้องปกปักษ์ รักษา ให้เหมาะสมกับพวกเค้า ดูแลกันเองได้ และได้ดีด้วย โดยไม่ต้องให้ใครมาหลอก มาสนตะพานจูงเดินไป เมื่อหมดประโยชน์ก็ปล่อยทิ้ง แต่เรา คุณ และ ผม ต่างหากที่จะเป็นผู้กำหนดให้ผู้ที่จะอาสาเข้ามาทำงานสาธารณะ ต่างๆ ต้องฟังและทำตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น